ตลาดหุ้นไทยกับการเร่งเครื่องความยั่งยืนของห่วงโซ่ปาล์มน้ำมัน : ถึงเวลาของบริษัทปลายน้ำ

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

คุณวรางคณา ภัทรเสน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บรรยายพิเศษ หัวข้อ “ตลาดหุ้นไทยกับการเร่งเครื่องความยั่งยืนของห่วงโซ่ปาล์มน้ำมัน : ถึงเวลาของบริษัทปลายน้ำ” ในงานเสวนาสมาชิก RSPO ประเทศไทย ประจำปี 2568 เมื่อเร็วๆนี้ว่า การทำเรื่อง Sustainable หรือ “ความยั่งยืน” นั้น สิ่งสำคัญคือ การให้การสนับสนุนผู้ผลิตบริษัทที่ทำเรื่อง Sustainable

เพราะถ้าเขาเหล่านั้นทำผลิตภัณฑ์ Sustainable ออกมาแล้ว แต่ไม่มีคนปลายน้ำนำไปใช้ต่อ คนทำก็ท้อและเหนื่อย ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสนับสนุนให้มีหุ้นจากบริษัทที่ทำเรื่อง ESG การที่มีนักลงทุนซื้อหุ้น ESG เหมือนสนับสนุน Sustainable เช่นเดียวกับผู้ซื้อสินค้าที่มีส่วนผสมจากปาล์ม RSPO ก็เหมือนสนับสนุนการทำปาล์มน้ำมันยั่งยืน RSPO 

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่า “ความยั่งยืน” คือเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง โดยมี 3 เสาหลัก และต้องมีฐานรากที่สำคัญคือ การจัดการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ความซื่อสัตย์ ซึ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของการทำทุกอย่าง  ส่วน 3 เสาหลักคือ E-Environmental , S-Social , G-Governance &E-Economic  3 เสาหลักต้องสมดุลกัน ต้องมีการทำให้ทุกเสาสมดุลกัน 

ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประเด็นต่อมา การทำกล่าวต่อว่า การทำการค้ากับยุโรป ถ้าทำเรื่อง ESG ได้ก่อน ให้ทำไปตามความสามารถของแต่ละบริษัท สามารถค่อยๆ ทำไปทีละข้อ ไม่ต้องเร่งทำทีเดียวทั้งหมด  และไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนของห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าต้นน้ำ กลางน้ำ หรือปลายน้ำ ย่อมมีเรื่องของ ESG เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด ESG จึงเป็นเรื่องสำคัญและต้องทำ 

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“ESG คือ สิ่งที่เราทำกันอยู่แล้ว แต่นึกไปไม่ถึง หรือ ไม่ได้นิยามให้ชัดลงไป หรือทำให้ลึกลงไป จนถึงการวัดผล ที่บางครั้งก็ไม่รู้จะวัดผลอย่างไร จนถึงเงินทุนที่อาจไม่เพียงพอ เหล่านี้คือความท้าทายของแต่ละองค์กรว่าจะทำ ESG ได้สำเร็จหรือไม่”คุณวรางคณา กล่าว

และย้ำว่า การทำเรื่องความยั่งยืน ไม่ว่าจะอยู่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ คนที่อยู่ Tone at the Top หรือผู้บริหารระดับสูง คณะกรรมการต่างๆ ต้องให้ความสำคัญขับเคลื่อน และพนักงานในองค์กรต้องช่วยกันขับเคลื่อน เพราะเป็นเรื่องของทุกคนในองค์กร

“เรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกๆ คนในองค์กรที่ต้องให้ความสำคัญและลงมือทำ เช่นเดียวกับเรื่องของ RSPO เป็นหนึ่งในเทรนด์ความยั่งยืน ดังนั้นทุกคนต้องทำ” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สรุป

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

ย้ำ ปาล์มน้ำมันเพื่อความยั่งยืน Keyword สำคัญ คือ ความรับผิดชอบร่วมกัน

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

คุณศาณินทร์ ตริยานนท์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวตอนหนึ่งในพิธีเปิดงานประชุมสัมมนาสมาชิก RSPO ประเทศไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ “ความรับผิดชอบร่วมกัน : การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโห่อุปทานต้นน้ำปาล์มน้ำมันประเทศไทย” เมื่อเร็วๆนี้ ว่า 

ช่วงสิบปีที่ผ่านมา ตลาดปาล์มน้ำมันโลกมีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ กระทั่งปัจจุบัน มีความต้องการ “ปาล์มน้ำมันเพื่อความยั่งยืน” ที่ไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย โดยมี Keyword สำคัญ คือ ความรับผิดชอบร่วมกัน ดังนั้น หากประเทศไทย ทำปาล์มที่ดี ปาล์มมีคุณภาพ อุตสาหกรรมปาล์ม ก็ยังจะเป็นธุรกิจที่มีอนาคต แต่ถ้าไม่ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง อาจไม่มีอนาคตได้เช่นกัน

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“อุตสาหกรรมปาล์ม เราไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียว แต่ยังมีโรงสกัด โรงกลั่น ภาคโอลีโอเคมี ซึ่งจะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือกันทุกภาคส่วนระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในทุกห่วงโซ่อุปทาน” ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม กล่าว

และว่า สำหรับ RSPO  เป็นองค์กรเน้นเรื่องความยั่งยืน ที่พยายามผลักดันให้ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เป็นหนึ่งในเรื่องความยั่งยืน และตอบโจทย์ของผู้ซื้อและประชากรโลก และอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญในช่วงนี้ก็คือ ESG (Environmental, Social, Governance) ซึ่ง RSPO พยายามผลักดันให้พวกเรา ชาวปาล์มน้ำมันเป็นหนึ่งในเรื่องนี้เช่นกัน 

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

ระดมความคิด ความรับผิดชอบร่วม – ยกระดับปาล์มน้ำมันไทย สู่ความสำเร็จในตลาดโลก

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

จากการเสวนา “ความรับผิดชอบร่วม – ยกระดับปาล์มน้ำมันไทยสู่ความสำเร็จในตลาดโลก” ในงานประชุมสมาชิก RSPO ประเทศไทย ประจำปี 2568  โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย คุณเชาวลิต วุฒิพงศ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปาล์มน้ำมันยั่งยืนศรีเจริญ คุณศุภชัย จินตนาเลิศ ประธานกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทสุขสมบูรณ์ และนายกสมาคมการค้าผู้ผลิตโอลีโอเคมี

คุณนุชนาถ สุขมงคล  ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสดี กัทธรี อินเตอร์เนชั่นแนล มรกต จํากัด (มหาชน) คุณไพรวัลย์ โต๊ะดํา  ผู้จัดการอาวุโส บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จํากัด (มหาชน) และ คุณอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank)

คุณเชาวลิต กล่าวในฐานะ “ต้นน้ำ” ว่า น้ำมันปาล์มทุกหยดที่อยู่ในระบบความรับผิดชอบร่วมของเรา ในระยะต้นมักยากที่จะทำความเข้าใจกับเกษตรกรว่า ทำไมถึงต้องรับผิดชอบอะไรนอกเหนือไปจากสิ่งที่ทำผลผลิตออกไปขายแล้วได้เงินมา 

“จำได้ว่าตอนแรกเริ่มที่มีการรวมกลุ่ม คุณศาณินทร์ บอกว่าตอนนี้มีผู้จะซื้อสินค้าเราแล้ว แต่เรายังไม่มีสินค้าจะขาย ผมเลยมาชวนคนมาผลิตสินค้าน้ำมันปาล์มให้เขา โดยมีเงื่อนไข คือ ความรับผิดชอบที่ต้องทำต่อมาตรฐานตามข้อกำหนดของ RSPO คือ ความรับผิดชอบในสิ่งแวดล้อม ในความยั่งยืน ในความเป็นอยู่ของลูกจ้างแรงงาน ความรับผิดชอบต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่เกษตรกรต้องร่วมกันในระบบการผลิตต้นน้ำ” 

คุณเชาวลิต วุฒิพงศ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปาล์มน้ำมันยั่งยืนศรีเจริญ
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“สมาชิกกลุ่มแต่ละคน ยังมีความรับผิดชอบร่วมในฐานะสมาชิกกลุ่มที่ต้องนำผลผลิตมาขายเข้าสู่ระบบเพื่อให้กลุ่มมีรายได้บริหารจัดการกลุ่ม ช่วยเหลือสมาชิก ต่อกลุ่ม มีความภัคดีต่อกลุ่ม เพื่อไปสู่ความยั่งยืน จุดอ่อนที่สุดของเกษตรกรก็คือความภัคดีต่อกลุ่ม ซึ่งในแต่ละกลุ่มก็จะมีกฎหรือมาตรการต่างๆ คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ จะมีมาตรการตั้งแต่ตักเตือนดำเนินการแก้ไข จนสุดท้ายขอร้องให้ลาออกเพื่อไม่ให้ถูกแบล็กลิสต์ เพราะถ้ายังเพิกเฉยอยู่เราก็ไปต่อไม่ได้”ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตปาล์มน้ำมันยั่งยืนศรีเจริญ กล่าว

และบอกต่อ ถึงโอกาสในการยกระดับน้ำมันปาล์มไปสู่สากล ว่า ในฐานะเกษตรกรรายย่อย พบอุปสรรคอย่างหนึ่ง คือ เกษตรกรเสพข้อมูลอย่างเดียว แต่ไม่มี Information หรือ Knowledge แต่การจะทำให้เกษตรกรไปสู่สากลได้ ต้องให้ Information อย่าให้แต่ข้อมูล ต้องกลั่นสารสนเทศออกมาเป็นความรู้ เกษตรกรจึงจะสามารถไต่ระดับขึ้นมา

ซึ่งตอนนี้กลุ่มของตนกำลังให้ความรู้ ความเข้าใจสมาชิกว่า การทำสวนปาล์ม ไม่ใช่ทำเกษตรกรรมเหมือนที่ผ่านมา แต่กำลังทำธุรกิจการเกษตร ต้องรู้ต้นทุน ต้องรู้ค่าใช้จ่าย รู้กำไร และวางแผนนำกำไรไปเลี้ยงครอบครัวได้เท่าไหร่ นี่เป็นความคิดระดับสากลที่เป็นไปได้ในระดับผู้ผลิต ส่วนระดับสากลมาตรฐานที่ต้องทำให้โลกยอมรับ ต้องชี้ให้เห็นว่าโลกอยู่ในเทรนด์โลกสะอาด ฉะนั้นถ้าสินค้าของพวกเราสะอาด รวมตัวกันให้เข้ากับเทรนด์ที่โลกเขายอมรับได้ จึงจะเข้าไปสู่ระดับสากลได้ 

ถ้าเรามีแนวคิดพูดแต่เรื่องการขับเคลื่อนจะเป็นไปได้ยากมาก เพราะเกษตรกรมีแต่ข้อมูล ไม่เคยมีรายละเอียด ไม่มีความรู้ที่มากเพียงพอ เกษตรกรจะต้องมีการแปลข้อมูลมาเป็นสารสนเทศ เพื่อนำไปตกผลึกเป็นองค์ความรู้ และสร้างให้เกิดปัญญา  ซึ่งปัญญา คือ สิ่งสำคัญที่สุดที่จะพาเราไปสู่ระดับสากล   การจะทำให้เกษตรกรเข้าถึงระดับสากลได้ คือ พาให้เข้าถึงความรู้ ถึงปัญญา 

ไล่เรียงมาถึงประเด็นแนวทางปฏิบัติที่สนับสนุนส่งเสริมความรับผิดชอบและความยั่งยืน  คุณเชาวลิต มองว่า ถ้าราคาทะลายปาล์มสด RSPO กับ ราคาปาล์มทั่วไป เท่ากันหรือใกล้เคียงกันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเกษตรกรปลูกปาล์มต้องการรายได้ที่ดี การจะไปสืบทอดโลกสะอาดให้ลูกหลานนั้น อย่าไปพูดกับเขาเลย แต่ค่อยๆแทรกความคิดให้ดีกว่า

อันดับแรกที่ควรบอกกับเกษตรกร คือ ทันทีที่อนุมัติเป็นสมาชิก ยังไมได้ใบเซอร์ ราคปาล์มจะบวกเท่าไหร่ เมื่อได้ใบเซอร์แล้วบวกอีกเท่าไหร่ เหล่านี้คือสิ่งที่เกษตรกรต้องการ  ฉะนั้น ความท้าทายคือ ทำอย่างไรให้มีราคาบวก หรือพรีเมียม มาให้เกษตรกรเห็นชัดๆ

คุณเชาวลิต บอกต่อว่า ผู้บริโภค ยังเห็นคุณค่าของสินค้าประเภทนี้น้อย เพราะฉะนั้นแนวทางต้องขยายปลายน้ำก่อน ทำอย่างไรให้ทุกคน ผู้บริโภคเห็นว่า การบริโภคสินค้า RSPO ช่วยอะไรบ้าง และการจะไปเปิดปลายน้ำต่างประเทศ ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่อง เพราะฉะนั้นควรทำปลายน้ำของประเทศไทยก่อน ผู้แทน RSPO และบริษัทปลายน้ำ จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเห็นว่า ทำอย่างนี้แล้วจะ “สะเทือนถึงดวงดาว”    การซื้อสินค้าหนึ่งชิ้น สร้างแสงสว่างสดใสขึ้นเลย ลูกหลานได้อยู่ในโลกสะอาดขึ้น คุณไม่ต้องวิ่งแจ้นหนีทุกฤดูฝุ่น คุณไม่ต้องร้อนรุมกลุ้มใจเรื่องภาวะเรือนกระจก

เพียงคุณซื้อสินค้า คนละชิ้นสองชิ้นนี่แหละ เจาะกลุ่มปลายน้ำผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไป ผู้ผลิตเองก็จะเห็นทางสดใส มีกำลังใจที่จะทำต่อไป  ฉะนั้นปลายน้ำเท่านั้น ที่จะช่วยให้ต้นน้ำให้ขยับขยายและเห็นความสำคัญได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ ปากท้อง แล้วอุดมคติ อุดมการณ์ จะตามมาเอง ถ้าปากท้องอิ่ม ปัญญาเกิด แต่ถ้าปากท้องยังดิ้นรน คงลำบาก   

ด้าน คุณศุภชัย  หากพูดในนามโรงสกัด ตอนนี้ดูแลเกษตรกรทั้งที่เป็นสมาชิก RSPO หรือไม่ได้เป็นสมาชิก เมืองไทยาตอนนี้มีปัญหาหลัก คือ เรื่องแรงงาน บ้านเราเจ้าของไม่ได้ลงมือตัดปาล์มเอง ไม่ได้ใส่ปุ๋ยเอง คนทำคือแรงงาน จะทำอย่างไรให้แรงงานเข้าใจการทำปาล์มยั่งยืนมากขึ้น ทำไมเราไม่อบรมคนตัดปาล์มมากขึ้น 

เพราะหัวใจสำคัญของการทำปาล์ม คือ แรงงาน มาเลเซียใช้คน 70 ไร่/คน ไทยใช้แรงงาน 30 ไร่/คน เราต้องลดแรงงานลงให้ใช้แรงงานให้ได้ 110 – 120 ไร่/คน เพราะในอนาคตจะเจอปัญหาอะไรไม่รู้ ตอนนี้ที่สวนของกลุ่มบริษัทสุขสมบูรณ์ ใช้แรงงานอยู่ที่ 150 ไร่/คน Know how เหล่านี้เราจะนำไปสู่สมาชิกเกษตรกร RSPO ได้อย่างไร 

สำหรับปัจจัยการผลิตที่สอง คือ ปุ๋ย ลองไปถามเกษตรกร ที่ได้ผลผลิต 4 – 7 ตัน ว่ามีใครใส่ปุ๋ยตามกระทรวงเกษตรฯ กรมวิชาการ หรือทางมาเลเซียแนะนำไหม ที่ให้ใส่ปุ๋ยปีหนึ่ง 2 – 3 ครั้ง ไม่มีหรอกเขาใส่ปุ๋ยกันปีหนึ่ง 8-9 ครั้ง คำถามตามมาคือ องค์ความรู้ ที่ให้กับเกษตรกรถูกต้องหรือเปล่า เกษตรกรจะใส่ปุ๋ยเท่าไรถึงจะเหมาะสม มีการอบรมเกษตรกรมาตั้งนาน แต่เกษตรกรยังจับจุดไม่ได้เลยว่าจะใส่อย่างไร และเท่าไหร่  จึงคิดว่าตรงนี้ต้องมาหาข้อสรุปกันได้แล้ว

คุณศุภชัย จินตนาเลิศ ประธานกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทสุขสมบูรณ์ และนายกสมาคมการค้าผู้ผลิตโอลีโอเคมี
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“การให้องค์ความรู้กับเกษตรกรเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องปุ๋ย โรงสกัดควรเข้ามาช่วย เพราะไม่มีใครอยากขายแม่ปุ๋ยให้เกษตรกร เพราะกำไรน้อย”  คุณศุภชัย ระบุอย่างนั้น

เมื่อกล่าวถึงประเด็นโอกาสในการยกระดับน้ำมันปาล์มไปสู่สากล คุณศุภชัย บอก ตอนนี้กลุ่มบริษัทสุขสมบูรณ์ กำลังทำการเก็บทะลายปาล์มมาวิเคราะห์ทุกวัน ซึ่งต้องทำให้ครบ 3 ปี ตอนนี้ได้ข้อมูลคร่าวๆ แล้วว่า ทะลายต้นเป็นอย่างไร ทะลายปลายเป็นอย่างไร เหล่านี้จะเป็นข้อมูลไปสู่เกษตรกร รวมถึงการวิเคราะห์ใบ การยกระดับเกษตรกร การยกระดับได้จะทำอย่างไร 

และเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย ควรมีการซื้อขายปาล์มโดยตรงจากสวนถึงโรงงาน ตอนนี้เจ้าของลานเทคือ คนตัดปาล์มตัดเสร็จเข้าลาน จากลานเข้าโรงงาน ทุกขั้นตอนคือ ค่าใช้จ่าย เขาก็ไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย  โรงงานจึงควรไปเก็บปาล์มถึงสวน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากการขนส่ง ทำไมไม่ทำตรงนี้กับเกษตรกรเพื่อเป็นตัวอย่าง

ส่วนแนวทางปฏิบัติที่ทั้งสนับสนุนส่งเสริม ความรับผิดชอบและความยั่งยืน  คุณศุภชัย บอก ปัจจุบันเราเสียเวลากับสิ่งที่คอนโทรลไม่ได้ เช่น เรื่องราคาปาล์ม ราคาน้ำมัน มากไปหรือเปล่า แต่สิ่งที่เราคอลโทรลได้ เช่น การจัดการสวน ไม่ได้ให้ความสำคัญเลย ทั้งที่สามารถมาช่วยกันได้ 

ด้าน คุณนุชนาถ กล่าวว่า ทั้งหมดของห่วงโซ่อุปทาน คือ ความรับผิดชอบร่วมกันทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่เกษตรกร ทุกๆ ภาคส่วนต้องเห็นคุณค่าร่วมกันว่าทำอย่างไร ให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มให้มีความยั่งยืน เพราะถ้าต้นน้ำทำอย่างเดียว แต่ปลายน้ำไม่เปิด ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบร่วมกัน 

“บ้านเรา 95 เปอร์เซ็นต์คือเกษตรกรรายย่อยมากๆ ตั้งแต่ 5 – 25 ไร่ ต่างจากในต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย ที่รายย่อยของเขายังขนาดใหญ่กว่าเมืองไทยมากๆ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่างกัน การบริหารจัดการต้นทุนต่างกันมาก และเป็นหนึ่งใน Challenge ของไทย สิ่งหนึ่งที่เห็นเวลาพาลูกค้าชาวต่างชาติมาชมธุรกิจปาล์มในประเทศ การทำธุรกิจกับเกษตรกรรายย่อยของไทย เป็นสิ่งที่ลูกค้าชื่นชม คือสิ่งที่เขาอยากได้ เพราะทุกอย่างที่ลูกค้าจ่ายมาคือสิ่งที่ลงสู่คุณภาพชีวิตของเกษตรกรจริงๆ”คุณนุชนาถ กล่าว

และบอกต่อถึงประเด็น  สนับสนุนส่งเสริม ความรับผิดชอบและความยั่งยืน ว่า

“เราทำงานครบ Loop ช่วยเกษตรกรขายน้ำมัน RSPO และอีกฝั่งคือ เชื่อมโยงให้เห็นว่าตลาดมีอยู่จริง   การทำงานในแง่รูปธรรม คือ ไปหาเกษตรกรและโรงสกัด และบอกว่าจะรับซื้อปริมาณเท่าไร พรีเมียมจ่ายอย่างไร มีการเซ็น MOU เราเป็นโรงงานกลั่นที่ทำงานครบลูปกับเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง SG เจ้าแรกของไทย ตั้งแต่ปี 2019  ทุกอย่างต้องเกิดจากความมั่นใจว่า ตลาดนี้มีอยู่จริงๆ เวลาที่ลงไปพบเกษตรกร เราพบว่าทุกคนมีความสุขที่ได้ทำ RSPO เขามีรายได้ดีขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง ผลผลิตเพิ่มขึ้น และเจอกันมาสิบปีก็ยังคงอยู่” 

คุณนุชนาถ สุขมงคล  ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสดี กัทธรี อินเตอร์เนชั่นแนล มรกต จํากัด (มหาชน)  
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“สิ่งที่เราทำเป็นส่วนเล็ก ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของประเทศไทย ต้องบอกว่าเพราะง่ายๆ สมมติเราผลิต 3 ล้านตัน ส่งออก 1 ล้านตัน ส่วนใหญ่ตลาดที่เราส่งออกส่วนใหญ่ ไม่สนใจ RSPO แง่น้ำมันดิบเราไปอินเดีย อีกหนึ่งล้านไปไบโอดีเซล ก็ไม่ได้เป็นหลัก อีกหนึ่งล้านก็ตลาดในประเทศ ซึ่งในหนึ่งล้านนี้ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นตลาดน้ำมันธรรมดา เพราะผู้บริโภคในประเทศไทย  70 เปอร์เซ็นต์ ผู้บริโภค คนไทยรู้และรักษ์โลก แต่มีเพียง 25 เปอร์เซ็นต์ที่พร้อมที่จะซื้อสินค้ารักษ์โลก แต่ 25 เปอร์เซ็นต์นี้ไม่รู้เรื่อง RSPO เลย  การซื้อน้ำมันปาล์มของประเทศไทย คือ ดูจากราคา คุณภาพ และแบรนด์ แต่ไม่มีเรื่อง RSPO  ตอนนี้ควรมีความรวมมือจากหน่วยงานอื่นๆ ของภาครัฐ หรือ ธนาคาร มาช่วยกันสร้างความตระหนักรู้ เรื่อง RSPO”คุณนุชนาถ กล่าว 

ขณะที่ คุณไพรวัลย์  กล่าวว่า ในฐานะที่ทำ RSPO มาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกของประเทศไทยปี 2009 กลุ่มเกษตรกรรายย่อยของ ยูนิวานิช ถือเป็น เกษตรกร ไพรอต โปรเจ็ก กลุ่มแรกของ GIZ บริษัทยังคงดูแลเกษตรกรในพื้นที่ของตนเอง สนับสนุนเกษตรกรเรื่องต่างๆ และมีการประมูลปุ๋ยจากซัพพลายเออร์เป็นประจำทุกปี

และมีการรับโควต้าจากเกษตรกรว่าต้องการปุ๋ยเท่าไหร่ บริษัทก็จะได้ปุ๋ยราคาถูกมาให้เกษตรกร ซึ่งอาจไม่ถูกใจซัพพลายเอ่อร์หรือผู้ค้าปุ๋ย มากนัก แต่บริษัทได้ปุ๋ยราคาถูกมาให้เกษตรกร โดยมีการจัดการสต็อกให้ด้วย เป็นการสนับสนุนให้เกษตรกรได้ปุ๋ยราคาถูก ซึ่งเป็นปัจจัยต้นทุนหลักของการจัดการสวนปาล์มน้ำมัน จัดอบรมเรื่องปัจจัยการผลิต มีการสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ 

แต่ปัจจุบันมีปัญหายากลำบากมากขึ้น มีอุปสรรคมากขึ้น ผลผลิตมาก ราคาต่ำ เกษตรกรกล่าวโทษโรงสกัด โรงกลั่นที่เป็นปลายน้ำก็ไม่เห็น ซึ่งจริงๆ ต้องแชร์ความรับผิดชอบร่วมกัน

ส่วนโอกาสในการยกระดับน้ำมันปาล์มไปสู่สากล  คุณไพรวัลย์ บอกว่า ธรรมชาติของบ้านเราเป็นเกษตรกรรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ และแนวโน้มในอนาคตก็จะเป็นเกษตรกรรายย่อยมากยิ่งขึ้น เพราะพื้นที่ขนาดใหญ่น้อยลงเรื่อย ๆ เนื่องจากพื้นที่สัมปทานหมดอายุ พื้นที่เช่าหมดอายุ สวนขนาดใหญ่จึงจะน้อยลง เป็นสวนเกษตรกรรายย่อยมากขึ้น  ความท้าทายคือ เกษตรกรรายย่อยจะมากขึ้น ทำอย่างไรจะทำให้ต้นทุนน้อยที่สุด เรื่องปุ๋ย เรื่องการจัดการการขนส่ง

คุณไพรวัลย์ โต๊ะดํา  ผู้จัดการอาวุโส บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จํากัด (มหาชน)
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

อีกเรื่องคือ เรามีจุดเด่นเรื่องการเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ไม่บุกรุกทำลายป่า  การจะร่วมมือกันได้ เราต้องแชร์ข้อมูลกันทั้งหมดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รู้และเข้าใจว่าทำอย่างไรเกษตรกรถึงได้ผลผลิตปาล์มมาให้เรา เวทีเสวนาเช่นนี้คือความร่วมมือที่แนวทางปฏิบัติที่ทั้งสนับสนุนส่งเสริม ความรับผิดชอบและความยั่งยืน  

“ที่ผ่านมา ภาครัฐยังไม่มีความต่อเนื่องในการสนับสนุนเรื่อง RSPO เท่าที่ควร สิ่งที่พวกเราทำได้คือ ภาคเอกชนต้องช่วยกัน ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคคนปลายน้ำ เห็นความสำคัญ และตระหนักถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ RSPO เราเดินในห้างสรรพสินค้า เห็นแบรนด์สินค้าที่มีเครื่องหมาย RSPO น้อยมาก ต่างจากมาเลเซีย หรือ ยุโรป  ส่วนผู้อยู่ปลายน้ำ ตั้งแต่โรงกลั่น เรื่องพรีเมียม ถ้าไม่มีพรีเมียมย้อนกลับมาหาเกษตรกรก็ยากที่จะขับเคลื่อนไปได้”คุณไพรวัลย์ กล่าว 

ส่วน คุณอิทธิพล  กล่าวว่า ในแง่นักลงทุน หรือสถาบัน มีหลักของ UN อยู่เรื่องหนึ่ง คือ UNPRI คือการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ สิ่งนี้แบ่งเป็น 2 กิ่ง คือ Do – ที่ต้องทำ & Don’t – สิ่งที่ต้องไม่ทำ

Don’t คือ ไม่ทำสิ่งที่กระทบกับสิ่งแวดล้อม สิ่งที่กระทบต่อ Human right ทุกธนาคารเริ่มมีกลุ่มเป้าหมาย ที่ EXIM เซตเป้าหมายว่า จะเปลี่ยน Portfolio เป็น Sustainable มากขึ้น บริษัทที่เป็นสมาชิก RSPO ธนาคา EXIM ลดดอกเบี้ยให้ และน่าจะเป็นธนาคารแรกที่มีความร่วมมือกับ RSPO โดยสร้างทางเดิน เป็นโมเดลให้ ซึ่งไม่จำเป็นว่า RSPO ต้องทำกับ EXIM ที่เดียว 

คุณอิทธิพล เลิศศักดิ์ธนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank)
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“ถ้าประเทศไทยจะเอาผลผลิตปาล์มไปแข่งระดับโลก สิ่งที่เรามีดี คือ เราไม่มีข่าวภาพลักษณ์ที่ไม่ดี อย่างอินโดก็ยังมีข่าวที่ไม่ดี เรื่องการเผาป่า 15 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาป่า  ขณะที่ในฝั่งของภาคการเงิน สิ่งที่ต้องการคือ DATA “ คุณอิทธิพล กล่าว

ก่อนอธิบายในแง่ของการเงินสำหรับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันยั่งยืน ต้องมีข้อปฏิบัติอย่างยั่งยืนอย่างไร ว่า  ถ้าจะเพิ่มราคาแล้วเพิ่มไม่ได้ ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ของเท่าเดิม แต่ขายได้มากขึ้น การเพิ่ม Value added ให้ลูกค้ารู้สึกได้มูลค่าอะไรเพิ่มขึ้น จนตัดสินใจซื้อสินค้าเรา

ยกตัวอย่าง ชาลิปตัน ที่ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการทำชาที่ีส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม แม้ปีแรกจะขายสินค้าได้น้อยลง แต่ต่อมาขายดีขึ้น ด้วยการนำตราสัญลักษณ์การอนุรักษณ์ไปติดข้างผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคได้รู้ว่า การซื้อผลิตภัณฑ์ลิปตัน มีส่วนในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม หลายผลิตภัณฑ์ทางการเงินวันนี้ ยังไม่มีตัวไหนไปจับกับมาตรฐาน RSPO หรือ มาตรฐานการรับรองตัวใดๆ เกี่ยวกับ Rainforest Alliance โดยตรง  จริงๆ ต้องบอกว่า ธนาคารก็คือ ธนาคาร สิ่งที่ทำได้ คือ Joy Hand กับคนอื่น และทำสิ่งที่ไม่เคยมีให้มีขึ้น กำไรอาจลดลงนิดหน่อย แต่ต้นทุนของธนาคารก็จะลดลงด้วยเหมือนกัน 

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

ปาล์มน้ำมันไทยยั่งยืน มีพื้นที่บนเวทีโลก: เป้าหมายใหญ่ที่ “ไม่ง่าย” แต่ “ต้องทำ”

©TASPO/อัตถพงษ์ เพ็ชรพรั่ง

“ปัจจุบัน โรงงานไบโอดีเซล ใช้กำลังการผลิตอยู่แค่ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ คือ ทั้งเดือนเดินเครื่องจักร แค่ 9 วัน 10 วัน ที่เหลือว่างกันเลย ทำให้ต้นทุน Fixed Cost กินหมด ฉะนั้นการแข่งขันของไทยกับตลาดโลกจึงยากมาก”

เมื่อ “โลก” ปัจจุบัน หมุนวนมาถึงวาระแห่งการเรียกร้อง ถึง “ความยั่งยืน” จากทุกองคาพยพ ที่เป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ดวงนี้

และแน่นอนว่า “อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน”ย่อมไม่ได้รับการยกเว้น

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า แต่ละแผ่นดินบนแผนที่โลก ในนาม “ประเทศ” จะมีความพร้อม “รับมือ”กับวาระดังกล่าวได้เสมอหน้ากัน

ต้องสร้างกลไกทางเศรษฐศาสตร์ ขับเคลื่อนทั้ง Value Chain

“การดำเนินการเพื่อให้ปาล์มน้ำมันไทยมีความยั่งยืน ตอนนนี้ทำไปได้ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่การปลูกปาล์มน้ำมันเท่านั้นเอง ดังนั้นมีอีกตั้ง 94 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นพื้นที่อีก 6 ล้านกว่าไร่ ที่ต้องดำเนินการต่อ”

คือ ข้อมูลอัพเดท จากฝ่ายการเมือง อย่าง ดร.บุรินทร์ สุขพิศาล ในฐานะคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ

ดร.บุรินทร์ สุขพิศาล คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรคพลังประชารัฐ
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

และเขายังบอกด้วยว่า เรื่องของ “ความยั่งยืน” ในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ตลอดทั้ง Value Chain เป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐหารือกับฝ่ายบริหารมาตลอด และได้ข้อสรุปตรงกันว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก แต่บางครั้ง คนภายนอก อาจมองว่าเป็นเรื่องที่ “ต่างชาติ” พยายามสร้างแรงกดดัน มาให้บ้านเราปฏิบัติ ขณะที่ฝ่ายบริหาร กลับมองว่าเป็นเรื่องดี ที่ต้องรู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

กับคำถาม การทำให้ปาล์มน้ำมันของไทย ได้มาตรฐาน “ความยั่งยืน” สากล อย่าง RSPO  ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้แค่ไหน ตัวแทนฝ่ายการเมือง ท่านเดิม ตอบกลับแบบไม่ลังเล

“เป็นไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอยู่ที่บุคลากรและงบประมาณ Certified Body ที่ต้องไปทำหน้าที่เป็น Auditor และ  Certified ซึ่ง RSPO จะมีขั้นตอนของระบบที่เป็นสากลมาให้ แต่การเร่งเวลาในการทำคงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างการทำ RSPO ให้เต็มรูปแบบ ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการเดินไปที่ละขั้นจนกว่าจะได้ Certified ก็พยายามคุยต่อรองว่า มีขั้นตอนอะไรทำให้สามารถเดินได้เร็วขึ้น ลดเวลาเหลือ 2 ปี ลดเวลาเหลือปีครึ่ง แต่นั่นหมายความว่า ต้องดำเนินการในฝั่งของเราเองให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้ในระยะเวลาอันสั้น”

ดร.บุรินทร์ บอกด้วยว่า นอกจากจะสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในระยะเวลาอันสั้นแล้ว ทุกฝ่ายคงต้องร่วมกัน หา “กลไก” ให้เกษตรกรได้รับราคาผลปาล์มที่ดีขึ้นด้วย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ “กลไกทางเศรษฐศาสตร์” ทำงานได้สมบูรณ์ เรื่องของความยั่งยืน ย่อมจะเดินหน้าไปได้โดยอัตโนมัติ  

“ปาล์มน้ำมันของบ้านเราปัจจุบัน เกษตรกรได้รับมูลค่ารวมของทั้งสวนปาล์มทั้งหมด 6 ล้านกว่าไร่ เคยสูงถึง 1.74 แสนล้านบาท เมื่อปี 2565 ราคาหล่นลงมา เดิมฉลี่ยอยู่ที่ 7.89 บาท ปีที่แล้วลงมาไม่ถึง 6 บาท ปีนี้ทรงๆ ไม่ถึง 6 บาท โดยเฉลี่ย บางช่วงอาจต่ำกว่า บางช่วงอาจสูงกว่า ทำให้ผลตอบแทนทั้งระบบอยู่ที่ประมาณแสนล้าน แต่ถ้าได้การรับรองมาตรฐาน RSPO แล้ว ได้รับค่าพรีเมี่ยมขยับขึ้นมา 5 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นเม็ดเงินถึง  5 พันล้านบาทแล้ว”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“ซึ่งผลตอบแทน 5 พันล้านบาท นี้ จะตกไปอยู่กับเกษตรกร ซึ่งสามารถครอบคลุมในส่วนของค่าใช้จ่ายที่ต้องดำเนินการในการทำ RSPO และเหลือบางส่วนนับว่าน่าพอใจแล้ว หากทำได้แบบนี้ ระบบจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ทั้ง Value Chain และที่สำคัญเกษตรกร ซึ่งอยู่ในระบบของปาล์มน้ำมัน มีจำนวนหลายล้านคน เป็นกลุ่มที่ต้องดูแล จึงมีความจำเป็นที่ต้องเดินหน้า in line ไปกับนโยบายระดับโลก เพื่อความอยู่รอดของตัวเราเองด้วย”ดร.บุรินทร์ ย้ำอย่างนั้น

แนะ รัฐบาล สร้างแบรนด์น้ำมันปาล์มไทย ผลประโยชน์ตกถึงเกษตรกร

เพราะด้วยตระหนักว่า การผลักดันอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มสู่วิถีแห่งความยั่งยืนในระดับสากล ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ เกษตรกรสวนปาล์ม โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ตลอดจนโรงงานโอลีโอเคมี โรงงานไบโอดีเซล รวมไปถึงผู้บริโภค

“เครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย” (Thailand Alliance for Sustainable Palm Oil : TASPO) จึงถือกำเนิดขึ้น และมีบทบาทมาอย่างต่อเนื่อง

“สิ่งที่ TASPO  พยายามทำมาตลอด คือ สร้างลิงก์ให้เกิดขึ้น เช่น โรงกลั่น จับคู่-จับกลุ่ม กับ โรงสกัด กับ ชาวสวน แล้วทำลิงก์ขึ้นมาว่าคุณขายให้คนนี้รับซื้อต่อ เพราะถ้าทำปาล์มน้ำมันมาตรฐานความยั่งยืน ออกมาแล้วไม่มีคนซื้อก็ไม่ได้ จึงต้องทำให้ครบวงจร”

“โรงสกัดไปซื้อจากเกษตรกรที่ทำสวนมาตรฐานความยั่งยืน โรงกลั่นไปซื้อน้ำมันมาตรฐานความยั่งยืนจากโรงสกัด โรงงานอุตสาหกรรมก็ซื้อจากโรงกลั่นนั้น เนื่องจากเป็นน้ำมันปาล์มทำออกมาด้วยวิธีการที่ดี สุดท้ายเงินที่ได้เพิ่มหรือค่าพรเมี่ยม ก็กลับไปสู่เกษตรกรรายย่อย”

คุณอัสนี มาลัมพุช ประธานเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย (TASPO) เผยอย่างนั้น

คุณอัสนี มาลัมพุช ประธานเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย (TASPO)
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ก่อนฉายภาพสถานการณ์ปาล์มน้ำมัน ในบ้านเรา ให้เข้าใจตรงกัน 2 – 3 ปี ที่ผ่านมา ไทย ผลิตน้ำมันปาล์มดิบเกินกว่าความต้องการในประเทศ กลายเป็นผู้ส่งออก มีการส่งออก CPO หรือน้ำมันปาล์มดิบ ประมาณล้านกว่าตันต่อปี โดยไม่มีการมูลค่าเพิ่มใดๆเลย

“TASPO พยายามคิด ทำอย่างไรน้ำมันปาล์มดิบล้านกว่าตันที่ส่งออกไปนั้น จะขายได้ราคาดีที่สุด ตลาดหรูอยู่ที่ไหน เหมือนกับสินค้าแบรนด์หรู ที่สามารถขายราคาแพง จับตลาดคนรวย กลุ่มที่สนใจคนถือแบรนด์นั้นแล้วแล้วเท่ เรื่องปาล์มนี่ก็เหมือนกัน จะทำยังไงให้คนใช้น้ำมันปาล์มแบรนด์ไทยแลนด์ แล้วดูดี”ประธานเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย ยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพก่อนเสนอแนะไปยังฝ่ายบริหาร

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“การสร้างแบรนด์ให้กับปาล์มน้ำมันของบ้านเรา นี้ รัฐบาล ช่วยได้นะ เหมือนไทยแลนด์แบรนด์ ที่เคยทำอยู่ แต่ ไทยแลนด์ แบรนด์ สำหรับปาล์มน้ำมัน นี้ ต้องเป็นมากกว่าแค่สินค้ามาจากประเทศไทย แต่ต้อง Sustainable ต้อง Low Carbon และต้องมีการแบ่งปันในสัดส่วนที่สมเหตุสมผล  มีเงินแบ่งให้เกษตรกรในเปอร์เซ็นต์ที่ควรจะได้ ไม่ใช่กดรราคาเกษตรกร แต่เอกชนได้กำไร” 

หลายโครงสร้างยังมีปัญหา อุปสรรค ความท้ายทาย รอการแก้ไข

และท่ามกลางความต้องการ “ปาล์มน้ำมัน” ซึ่งได้การรับรอง “มาตรฐานความยั่งยืน” ของตลาดโลก มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ คงต้องยอมรับ วงการปาล์มน้ำมันของไทย ยังมีอุปสรรคปัญหาและความ ท้าทายอยู่หลายประเด็น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางคุณศาณินทร์ ตริยานนท์ นายกสมาคมไบโอดีเซลไทย ชี้ว่า  หนึ่งในองค์ประกอบของความยั่งยืน คือ เรื่องของประสิทธิภาพ ส่วนอีก 2 องค์ประกอบ เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม และ เรื่องสังคม แต่ “องค์ประกอบแรก” หรือ “ประสิทธิภาพ” นับเป็นประเด็นที่ต้องปรับแก้ก่อน

คุณศาณินทร์ ตริยานนท์ นายกสมาคมไบโอดีเซลไทย
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพของปาล์มน้ำมันไทย ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น กำลังการผลิตของแต่ละช่วงห่วงโซ่การผลิต เช่น โรงสกัด โรงกลั่นน้ำมันบริโภค โรงไบโอดีเซล มีกำลังการผลิตที่มากเกินไป ซึ่งแม้เป็นการค้าเสรี ที่แข่งขันกันนั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่สภาพในประเทศไทยนั้น ไม่สมดุล กระทั่งกำลังการผลิตส่วนเกินเยอะเกินไป ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยปริยาย

“ปัจจุบัน โรงงานไบโอดีเซล ใช้กำลังการผลิตอยู่แค่ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ คือ ทั้งเดือนเดินเครื่องจักร แค่ 9 วัน 10 วัน ที่เหลือว่างกันเลย ทำให้ต้นทุน Fixed Cost กินหมด ฉะนั้นการแข่งขันของไทยกับตลาดโลกจึงยากมาก” นายกสมาคมไบโอดีเซลไทย เผย ก่อนยกตัวอย่าง อีกว่า

“ประสิทธิภาพของเกษตรกรเอง ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งหลายอย่างจะไปโทษพวกเขาไม่ได้ เช่น ราคาปุ๋ยแพง ทำให้ต้นทุนสูง อีกทั้ง โครงสร้างของอุตสาหกรรมที่ไม่สมดุล เช่น สถานที่ตั้งโรงสกัด ซึ่งควรจะเป็นลักษณะ  ไข่ดาว โรงสกัดเป็นไข่แดง ตั้งอยู่ตรงกลาง และล้อมไปด้วยสวนปาล์มที่ส่งผลผผลิตเข้าหาโรงสกัด ทำให้ระยะทางในการขนส่งสั้นที่สุด ต้นทุนขนส่งต่ำที่สุด แต่ของไทยไม่ได้ Set up ขึ้นมาแบบนั้น โรงสกัดไปตั้งอยู่ริมทางหลวง สวนก็อยู่กระจัดกระจาย การส่งมาที่โรงสกัดจึงมีต้นทุนที่สูง เหล่านี้คือปัญหาโครงสร้างของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันที่เป็นอยู่ ซึ่งต้องมีการปรับปรุงแก้ไข”

คุณศาณินทร์ บอกต่อว่า กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมัน มีตั้งแต่ เกษตรฯ พาณิชย์ พลังงาน อุตสาหกรรม ซึ่งแต่ละกระทรวงมักมีบทบาทในคนละมุมมอง หากแต่การบูรณาการเชื่อมโยงนโยบายต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้การกำหนดนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จำเป็นต้องมีการปรับ

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“ถามว่าปรับยากไหม ผมว่ายากมาก แต่เชื่อว่าทำได้ เพียงแต่ว่าประเด็น คือ ต้องร่วมกันตั้งเป้าเดียวกันก่อน หมายความว่าตั้งแต่เกษตรกร กลางน้ำ ไปถึงปลายน้ำ รวมถึงภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ต้องมองว่าประเทศเราเมื่อเทียบกับตลาดโลกแล้ว Trend มันเป็นแบบนี้ นี่คือที่ที่เราจะไปในอีก 5 ปี 10 ปี มันต้องปักธงก่อน”คุณศาณินทร์ ระบุทิ้งท้าย

เมื่อทุกฝ่ายสะท้อนถึงเป้าหมายตรงกัน ในการ ยกระดับ “อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย” ให้ก้าวสู่ “ความยั่งยืน” ที่ตรงกันจากทุกฝ่าย

แม้จะเป็นงานยากและต้องเดินอีกนาน แต่ก็ขอให้พากัน “เดินหน้าต่อไป” ในทิศทางที่ตั้งใจ

และที่สำคัญ ต้องมี Action Plan เป็นรูปธรรม เดินตามแผนนั้นด้วย!!

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

สัมภาษณ์พิเศษ  ดร.อิงเคอร์ แวน เดอ สลุยส์ ผู้อำนวยการ Market Transformation RSPO

ดร.อิงเคอร์ แวน เดอ สลุยส์ (Dr. Inke Van Der Sluijs) ผู้อำนวยการ Market Transformation RSPO
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

จุดแข็งของเกษตรกรปาล์มน้ำมันไทย มีลักษณะเฉพาะที่พิเศษมากจริงๆ”

เมื่อเร็วๆ นี้ หลังงานสัมมนาประจำปี RT2024 ของ RSPO ที่กรุงเทพ ทางทีมข่าว TASPO ได้มีโอกาสร่วมคณะลงพื้นที่ศึกษาดูงาน รากฐานของความยั่งยืน (Roots of Sustainability: Palm Oil Tour) ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี  และพูดคุยกับ ดร.อิงเคอร์ แวน เดอ สลุยส์ (Dr. Inke Van Der Sluijs) ผู้อำนวยการ Market Transformation RSPO (Director, Market Transformation) ถึงจุดแข็งและลักษณะเฉพาะของเกษตรกรไทยในมุมมองของผู้คร่ำหวอดอยู่ในตลาดปาล์มน้ำมันยั่งยืนของโลกจากประเทศเนเธอร์แลนด์

 การลงพื้นที่ศึกษาดูงานในจังหวัดสุราษฎร์ธานีครั้งนี้ให้อะไรบ้าง

“การศึกษาดูงานครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะมีผู้เข้าร่วมมาจากหลายประเทศและหลากหลายองค์กร ทั้งสื่อมวลชน เกษตรกร เจ้าของธุรกิจรายใหม่ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น WWF และเจ้าหน้าที่ RSPO จากประเทศต่างๆ มาเรียนรู้เรื่องการทำปาล์มน้ำมันยั่งยืนในประเทศไทย ทำอย่างไรให้มีผลผลิตมากขึ้น แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน เพราะเหล่านี้คือ หัวใจของ RSPO”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“นอกจากนี้ ประเทศไทยยังสั่งสมความรู้มากมายเกี่ยวกับการปลูกปาล์มและการกำจัดศัตรูพืชแบบไม่ทำลาย สิ่งแวดล้อม เพราะแม้การทำอย่างไรให้เกษตรกรมีผลกำไรที่มากขึ้นจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่สำหรับ RSPO การไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน เราจึงชอบที่จะทำงานร่วมกับ ประเทศไทย และเป็นที่มาของการลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การสนับสนุนการรวมกลุ่มและพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันประเทศไทย สู่การรับรองกระบวนการผลิตปาล์มน้ำมันยั่งยืนตามมาตรฐานโลก RSPO เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา”

“นับเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมาก และยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้เพราะการทำปาล์มน้ำมันยั่งยืนของประเทศไทย มีเครือข่ายที่ดี เช่น TASPO ซึ่งสามารถสร้างโอกาสให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน รวมถึงการสนับสนุนจากภาค รัฐ และหน่วยงานท้องถิ่นด้วย”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

มุมมองต่ออุตสากรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทย

“โมเดลของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทย มีลักษณะเฉพาะตัวมากๆ ประเทศไทย สามารถนำมาตรฐาน RSPO มาปรับใช้ให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะทางธุรกิจของประเทศได้ สำหรับ RSPO รู้สึกยินดีมากที่ได้ทำงานร่วมกับ ผู้ประกอบการในประเทศไทย ซึ่งสามารถประยุกต์มาตรฐาน RSPO ให้เหมาะกับวัฒนธรรมการทำธุรกิจปาล์มภายใน ประเทศได้อย่างเหมาะสม”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

แนวทางปาล์มน้ำมันยั่งยืนของไทย สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับประเทศอื่นได้มากน้อยแค่ไหน

“ดิฉันทำงานกับพื้นที่ต่างๆ ซึ่งมีความหลากหลายวัฒนธรรมทั้งการบริโภคและการผลิตปาล์มน้ำมัน อย่างหนึ่งที่เห็น ได้ชัด คือ โมเดลการทำปาล์มน้ำมันยั่งยืนของประเทศไทย สามารถให้ผลประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสูงมาก และยังได้รับการสนับสนุนผลักดันจากภาครัฐเป็นอย่างดี แต่ก็อาจจะยากในการนำไปปฏิบัติกับประเทศอื่นๆ เนื่องจาก ปัจจัยหลายๆ อย่างที่ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน

“จึงคิดว่า แต่ละประเทศมีโจทย์ที่ยากในการทำปาล์มน้ำมันยั่งยืนแตกต่างกันไป ในประเทศไทยเองก็คงไม่ง่ายนัก การที่รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุน และเกษตรกรรายย่อยมีผู้สนับสนุนที่ดีเป็นสิ่งที่ดี แต่ประเทศไทย มีเกษตรกร รายย่อยเยอะมากๆ จะทำอย่างไรที่จะมั่นใจได้ว่า เขาเหล่านั้นมีความรู้เรื่องแนวทางเกษตรยั่งยืนอย่างถูกต้อง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสพิเศษมากๆ ที่ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ จะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

จุดแข็งของปาล์มน้ำมันยั่งยืนในประเทศไทย มีหรือไม่และอย่างไรบ้าง

“จุดแข็งของเกษตรกรในประเทศไทย ที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษมากๆ คือ ยินดีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กัน จริงๆ แล้ว องค์ความรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีมูลค่าสูงมาก บางครั้งเมื่อคุณมีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณคงอยากจะเป็นคนเก่งที่สุด ไม่อยากแบ่งปันความรู้เรื่องนี้ให้ใคร แต่เกษตรกรในประเทศไทย ไม่หวงองค์ความรู้กันเลย พร้อมจะแนะนำว่าทำอย่างไรถึงจะได้ผลผลิตสูงแบบนั้นด้วย นี่เป็นลักษณะเฉพาะที่มีความพิเศษมากจริงๆ”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

“ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต” ใช่แค่อุดมคติ ชาวสวนปาล์มน้ำมัน RSPO มีหลักฐานยืนยัน

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

เหมือนพ่อแม่เลี้ยงลูก ที่อยากให้ลูกเป็นคนดีทุกคน แต่ว่าคนหนึ่งอาจจะเกเร คนหนึ่งอาจจะดี ทำสวน RSPO ก็เหมือนกัน ถ้าคุณดูแลดี คุณจะได้ผลผลิตที่ดี แต่ถ้าคุณดูแลไม่ดี คุณก็ได้ผลผลิตที่ไม่ดี แล้วคุณก็บ่นว่า ไม่เหลือตังค์ ขาดทุน

การมี “กำไรคุ้มเหนื่อย”จากการขาย เพราะได้ผลผลิตมีคุณภาพจำนวนมาก ขณะต้นทุนในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก สามารถจ่ายได้แบบไม่เดือดร้อน นั้น อาจนับเป็น “เป้าหมายดีงามสูงสุด” ที่เกษตรกรแทบทุกคนใฝ่ฝันถึง

หากแต่ในโลกแห่งความเป็นจริง แทบจะสวนทางกับ “อุดมคติ” ดังว่า อย่างสิ้นเชิง

ได้ความรู้มากมาย ปรับการจัดการใหม่จนเห็นผล

“สมัยก่อน ผลผลิตสวนผมไม่ดีเท่าไหร่ ได้ประมาณปีละ 2.8 – 3 ตันต่อไร่ อาจเพราะไม่ค่อยได้รดน้ำ ส่วนปุ๋ย นึกอยากจะใส่ก็ใส่ ไม่นึกอยากก็ไม่ใส่ ไม่อยากเสียเงินมาก คิดแค่ตัวเงินเป็นหลัก”

คุณอู๊ด – อุดมศักดิ์ นัดดาเสนะ เกษตรกรราย่อย ในฐานะสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลุ่มนํ้ากะแดะพัฒนาปาล์มนํ้ามัน สุราษฎร์ธานี
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

คุณอู๊ด – อุดมศักดิ์ นัดดาเสนะ เกษตรกรราย่อย ในฐานะสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลุ่มนํ้ากะแดะพัฒนาปาล์มนํ้ามัน สุราษฎร์ธานี เล่าให้ทีมข่าว TASPO ฟังอย่างนั้น

และยังบอกด้วยว่า ก่อนที่จะเข้าเป็นสมาชิก RSPO เขาไม่ได้ใส่รายละเอียดในสวนมากนัก ปล่อยหญ้ารกขึ้นสูงมาก ถ้าจะถางทำแค่โคนให้เตียนเท่านั้นเ เพื่อที่เวลาตัดปาล์มจะได้เก็บลูกร่วงได้ง่ายขึ้น หรือถ้าจำเป็นต้องเอาหญ้าลง จะใช้ลูกกลิ้งบดลงไป เพื่อให้หญ้าล้มหรือไม่ก็ใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นครั้งคราว

แล้วผลตอบแทนจำนวนต่อไร่ต่อปีไม่เกิน 3 ตัน สักทีนั้น มันคุ้มกับเงินที่ลงทุนไปหรือไม่-อย่างไร  ประเด็นสงสัยนี้ คุณอู๊ด ไขข้อข้องใจ ทำสวนปาล์มน้ำมัน ถ้ามีที่ดิน 30 ไร่ขึ้นไป โอกาสที่จะเหลือเงินมีความเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับ “การจัดการ” ของเกษตรกรแต่ละคน

และเมื่อราวปี 2561 หลังจากได้รู้จักและสมัครเข้าเป็นสมาชิก RSPO แนวคิดเกี่ยวกับ “การจัดการ” ในสวนปาล์มน้ำมันของเกษตรกรวัย 60 กว่า ท่านนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่าสิ้นเชิง

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

โดยเขายอมรับ ไม่เคยรู้จัก RSPO มาก่อน แต่สมัครเป็นสมาชิกเพราะได้รับข้อมูลมา ถ้าสมัคร RSPO จะขายปาล์มได้เพิ่มขึ้นอีก 20 สตางค์จากรายได้ปกติ แต่สิ่งที่เป็น “ประโยชน์”มากมายที่ “ซ่อนอยู่”ไม่เคยรู้เลย

ไม่ว่าจะเป็นการได้รับการอบรมความรู้ในเรื่องต่างๆ นับตั้งแต่ การวิเคราะห์ดิน การวัดค่า pH ของดิน การใช้ปุ๋ย การตัดทางใบ การขุดดิน ไปวิเคราะห์ หาธาตุอาหาร หากทราบว่าในดินหรือทางใบ มีธาตุอาหารอะไรบ้าง จะได้ใส่สูตรปุ๋ยที่ถูก สามารถช่วยประหยัดการใช้ปุ๋ยได้เป็นอย่างดี  

“ความรู้หลายอย่าง บอกตรงๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย และทำไม่เป็นด้วย แต่พอเข้าเป็นสมาชิก  RSPO เขามีอาจารย์มาสอน เรื่องปุ๋ย เรื่องโรค เรื่องแมลง เรื่องการให้น้ำ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่มาก”คุณอู๊ด บอกจริงจัง

แบ่งปัน How to เพิ่มผลิต จาก 3 เป็น 6 ตัน ต่อไร่ต่อปี

จากจุดเริ่ม 2.8 – 3 ตัน ต่อไร่ต่อปี ครั้นผ่านไปราว 6 ปีกว่า ผลผลผลิตปาล์มน้ำมัน ภายใต้มาตรฐาน RSPO จากสวนคุณอู๊ด เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขบันทึกไว้ล่าสุดอยู่ที่ 5.7 – 6 ตัน ต่อไร่ต่อปี 

เมื่อถามถึงเทคนิค How to เพิ่มผลผลิต ได้เป็นเท่าตัว เกษตรกรท่านเดิม เผยให้ฟังแบบไม่หวงวิชา เริ่มต้นจากการตรวจค่าดิน ควรตรวจทุกเดือน ซึ่งค่า pH ของดินที่เหมาะสมอยู่ที่  5.5  หรือ 6 จะทำให้พืชกินอาหารหรือปุ๋ยที่ใส่ลงไปได้ดี แต่ถ้าดินเป็นกรด พืชไม่กินอาหาร ใส่ปุ๋ยไปเท่าไหร่ก็ทิ้งเสียเปล่า

แต่ถ้าค่า pH ดินสูงไปถึง 8 หรือ 9 ต้องรีบปรับด้วยการใส่ยิปซั่ม และเมื่อถึงช่วงปลายผลผลิต ต้องตรวจสอบค่าดินดูอีกครั้ง ถ้าค่า pH เป็น 3 หรือ 4 ต้องรีบใส่ โดโรไมต์ เพื่อปรับสภาพดินก่อนใส่ปุ๋ยจริง ซึ่ง โดโรไมต์ นี้ ควรใส่ทุกปี

ถัดจากเรื่องการรู้จักค่าดินที่เหมะสมแล้ว การทำระบบน้ำ นับเป็นเรื่องสำคัญมากในการทำสวนปาล์มน้ำมัน เพราะหากไม่มีการรดน้ำหรือรดน้ำไม่ถึง ดอกที่ออกมาเป็นตัวเมียซึ่งจะกลายเป็นผลปาล์ม อาจฝ่อหมดเมื่อถึงหน้าแล้ง

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

คุณอู๊ด เล่าให้ฟังด้วยว่า สวนปาล์มแปลงนี้ของเขา โชคดีมีคลองธรรมชาติ อยู่ 2 คลอง จึงดูดน้ำจากคลองธรรมชาติมารดน้ำปาล์มผ่านระบบสปริงเกอร์ แต่ถ้าพื้นที่ไหนไม่มีคลองธรรมชาติ ต้องขุดสระหรือเจาะน้ำบาดาล เพื่อเติมน้ำลงสระนำไปใช้ในการรดต้นปาล์มแต่ละวันในช่วงหน้าแล้ง

“ต้นทุนทำระบบน้ำในสวนของผม ตกไร่ละ 2 หมื่นบาท แต่ไม่ได้ลงทุนทีเดียว พอมีเงินเหลือ จึงทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้ามีทุนก้อนที่หนึ่ง เดิน Main ก่อน พอเดิน Main เสร็จ ค่อยมาทำระบบสปริงเกอร์ ปีนี้ทำได้ไร่หนึ่ง ทำไร่เดียว ปีหน้าทำได้ 2 ไร่ ทำ 2 ไร่ ถ้ามีเงินเยอะ ค่อยทำทีเดียวเสร็จ ถ้ามีเงินไม่เยอะ ค่อยๆทำไปทีละนิด สุดท้ายเต็มสวนอยู่ดี แต่สิ่งสำคัญแหล่งน้ำต้องมี”เจ้าของสวนปาล์ม RSPO ท่านเดิม อธิบาย  

ทั้งยังบอกเทคนิค การกองทางปาล์มเป็นแนวยาวอยู่ระหว่างแนวต้นปาล์ม เพื่อให้ผล 2 อย่าง เกี่ยวกับการรดน้ำ และการใส่ปุ๋ย

“หลังตัดทลายปาล์มไปขายแต่ละครั้ง ควรนำทางปาล์มมากองสุมกันให้เป็นแนวยาว จะทำให้มีรากปาล์ม เลื้อยมาอยู่ใต้ทางปาล์มเยอะมาก ซึ่งมองภายนอกมองแทบไม่เห็น แต่ถ้าแหวกทางปาล์มดู จะเห็นรากขึ้นอยู่ใต้ทางปาล์มเต็มไปหมด เวลาใส่ปุ๋ยจึงควรใส่ในทางปาล์มที่กองไว้ด้วย หลังใส่ปุ๋ยแล้ว รดน้ำตามเลย ปุ๋ยละลาย ความชื้นยังอยู่ พูดง่ายๆ ต้นปาล์มได้ทั้งปุ๋ย ทั้งน้ำ เต็มๆ ไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นเลย”คุณอู๊ด แนะ

เทคนิคง่ายๆ ใส่ใจ อย่างเดียว ผลตอบแทนคุ้มค่า

แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกลางสวน ได้สาระหลากหลาย ขอตั้งประเด็นคำถามต่อ ทำสวนปาล์ม RSPO ยากง่ายอย่างไร คุณอู๊ด ตอบทันที แทบไม่ต้องคิด

“ใช้คำว่า ใส่ใจ คำเดียวเลย เมื่อได้รับการเรียนรู้จาก RSPO มา ได้รับการอบรมจากครูบาอาจารย์ มาแล้ว ที่เหลืออยู่ที่การปฏิบัติตาม เหมือนพ่อแม่เลี้ยงลูก ที่อยากให้ลูกเป็นคนดีทุกคน แต่ว่าคนหนึ่งอาจจะเกเร คนหนึ่งอาจจะดี ทำสวน RSPO ก็เหมือนกัน ถ้าคุณดูแลดี คุณจะได้ผลผลิตที่ดี แต่ถ้าคุณดูแลไม่ดี คุณได้ผลผลิตที่ไม่ดี แล้วคุณก็บ่นว่า ไม่เหลือตังค์ ขาดทุน”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

เกษตรกรสวนปาล์มน้ำมัน RSPO ท่านเดิม บอกอีกว่า เขามีกำไรทุกดือน มีเงินเข้ากระเป๋าทุกเดือน มีเงินใส่ปุ๋ยทุกเดือน ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใครมาซื้อปุ๋ย เพราะถ้ามีเงินน้อย ก็ใส่ปุ๋ยน้อย จากหนึ่งกิโลเหลือครึ่งกิโล ถ้าน้อยลงไปอีกเหลือครึ่งของครึ่งกิโล แต่ต้องใส่ เพราะปาล์มขาดปุ๋ยไม่ได้ ปาล์มจะเลือกเพศต่อเมื่อมีความอุดมสมบูรณ์เท่านั้น ถ้าไม่อุดมสมบูรณ์เมื่อไหร่ ปาล์มจะเลือกเป็นเพศผู้

นอกจากนี้ ยังแนะอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญ เน้นเลย คือ เมื่อตัดปาล์มเสร็จ หลังขายผลผลิตแล้ว ต้องนำรายได้มาหาร 2  แบ่งคนละครึ่งกับต้นปาล์ม คือ จ่ายค่าแรง กับ ซื้อปุ๋ย มีงบน้อยใส่น้อย มีงบมากใส่มาก แต่ต้องใส่ให้ครบ  ทั้ง N P K แมกนีเซียม โบร่อน ต้องให้ครบ

“พอใจมากที่ได้เข้ามาเป็นสมาชิก RSPO บอกเลยว่า ถ้าปฏิบัติตามที่ RSPO แนะนำมา จะได้สิ่งตอบแทนที่คุ้มค่าแน่นอน”คุณอู๊ด ทิ้งท้ายจริงจัง

สวนปาล์ม RSPO ทำได้ไม่ยาก เริ่มจากไม่ฝืนกติกา

คุณหมู – วรพรรณ เลขพล สมาชิกวิสาหกิจชุมชนเพื่อการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน(ท่าชนะ-ไชยา) สุราษฎร์ธานี คือ อีกหนึ่งในสมาชิกสวนปาล์ม RSPO ที่กรุณาสละเวลามาให้ข้อมูลกับทีมข่าว TASPO ด้วยความยินดี โดยแนะนตัวให้รู้จักพอสังเขป เรียนจบมาด้านช่างไฟฟ้า และทำงานอยู่ในสายงานช่างเทคนิคมาตลอด ก่อนจะหันเหมาทำสวนปาล์มน้ำมัน เป็นของทางครอบครัวภรรยาซึ่งเป็นสวนยางมาก่อน

คุณหมู – วรพรรณ เลขพล สมาชิกวิสาหกิจชุมชนเพื่อการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน(ท่าชนะ-ไชยา) สุราษฎร์ธานี
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“บ้านแฟนเขามีสวนเป็นหลายร้อยไร่ แล้วขาดคนดูแล จึงตัดสินใจลาออกมา ตอนปี 2550 มาทำแบบจริงจัง ตั้งแต่นั้นมา พยายามศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับปาล์ม เกี่ยวกับการวิเคราะห์ดิน การให้ปุ๋ย การให้น้ำ และหลายๆเรื่องที่เขามีอบรมที่ไหนก็ไปหมด”คุณหมู ย้อนจุดเริ่ม

ก่อนเล่าต่อถึงการเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก RSPO ว่า เมื่อก่อนไม่ได้สนใจอะไร แถมยังมองว่ามันยุ่งยากซับซ้อนหรือเปล่า แต่พอฟังจากคนที่เขาเป็นสมาชิก RSPO แล้ว ได้ความว่าแค่นำที่ดินเข้าไป มีที่ดินที่ไหนนำไปให้เขาดู มีจำนวนปาล์มกี่ต้น มีที่ดินที่ไหน ก็ถ่ายพวกโฉนด นส.3 หรือ สปก. ไปให้เขาดู เลยสนใจ

ส่วนการจดบันทึก ที่แม้ไม่เคยทำมาก่อน ก็เริ่มต้นได้ไม่ยาก แค่ทุกครั้งที่มีการตัดปาล์ม กลับไปบ้านจดบันทึกไว้เลย ได้มากี่ตัน ราคาเท่าไหร่ ตัดวันไหน ลูกน้องชื่ออะไร หักได้เงินรวมเท่าไหร่ มีรายจ่ายแต่ละรอบ ใช้ปุ๋ยเท่าไหร่ พอสิ้นปีจะรู้ว่ามีรายรับเท่าไหร่ จ่ายไปเท่าไหร่ มีกำไรเท่าไหร่ สุทธิเท่าไหร่ ได้ผลผลิตปาล์มต่อปีเท่าไหร่ ปีหน้าจะปรับอะไรอีก เพื่อเพิ่มผลผลิตอีกไหม

“ทำสวนปาล์มมาตรฐาน RSPO ไม่ยากอะไรเลย เพียงแต่เข้าระบบของเขาให้ได้ และไม่ไปฝืนกติกา มารยาท อย่าง เรื่องขยะ เก็บให้เป็นที่เป็นทาง แยกขวด แยกขยะ เก็บลูกร่วงให้เกลี้ยง ผมบอกลูกน้องเสมอไม่เผาขยะในสวน ให้นำไปใส่เตาเผาที่อื่น”คุณหมู บอกอย่างนั้น

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ลงทุนระบบน้ำ ด้วง ปัญหาใหญ่ แต่จัดการได้ทัน

เมื่อถามถึงแนวทาง “ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต” คุณหมู อธิบายว่า กระบวนการจัดการเรื่องปุ๋ย คือ การลดต้นทุนดีที่สุด ซึ่งก่อนที่เขามาทำสวน RSPO นั้น มักใส่ปุ๋ยแบบสะเปะสะปะ ใครบอกยี่ห้อนั้นดี ยี่ห้อนี้ดี ใส่ตามเขา ซึ่งไม่ได้ผล จึงต้องมาศึกษาเรียนรู้ใหม่  

“การใส่ปุ๋ยดีที่สุดต้องใส่กองทาง ไม่ควรจะใส่รอบโคน เพราะจะเสียเวลา แล้วรากปาล์มกินได้ไม่ดี การใส่ปุ๋ยที่กองทาง ใส่หน้าแล้ง หน้าฝน ได้หมด ถ้าฝนตกหนัก เขาจะไม่ชะล้างไปโดยเร็ว มันจะกองและชะลอไว้อยู่ที่กองทาง ซึ่งกองทางมีรากปาล์มอยู่เยอะมาก เป็นเทคนิคง่ายๆที่บอกให้หลายคนลองทำตามดู บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ แต่สำหรับเราพอทำแล้ว ผลผลผลิตดีขึ้น เพิ่มขึ้น”คุณหมู บอกอย่างนั้น

และว่า ถึงการลงทุนทำระบบน้ำในสวนปาล์ม นับว่ามีความสำคัญ โดยในส่วนของเขา ลงทุนเฟดแรกประมาณ 5 หมื่นบาท เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของปั๊มน้ำ ระบบตู้คอนโทรล ระบบไฟ ระบบท่อ พอเฟดที่ 2 จะลงทุนน้อยลงแล้ว ประมาณ 2 หมื่นบาท โดยใช้ท่อ Main แล้วปล่อยน้ำมาตามร่องปาล์ม ช่วยประหยัดเรื่องท่อไปได้เยอะ

“ก่อนหน้าที่ยังไม่มีระบบน้ำ ผลผลิตอยู่ที่ 4 – 5 ตัน ต่อรอบ พอทำระบบน้ำเสร็จ ขยับมาเป็น 8- 9 ตันกว่า ต่อรอบ”คุณหมู เผยตัวเลขน่าชื่นใจ

และบอก อีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ปาล์มดก ในแบบของเขา คือ ใส่ปุ๋ยให้เป็นระบบ ทุก 4 เดือน ต้องใส่ N P K แมกนีเซียม โบร่อน และแถม ขี้เป็ด ขี้ไก่ ขี้วัว ขี้หมู เพราะการใส่อินทรีย์วัตถุในสวนปาล์ม เป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะเมื่อก่อนผมไม่ใส่มา 4-5  ปี ผลผลิตไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอใส่ ขี้หมู ขี้เป็ด เข้าไป ช่วยให้ดินมันมีชีวิตชีวาขึ้นจริง

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ทั้งยังบอกอีกว่า “ความรู้” ที่ได้จากการเป็นสมาชิก RSPO นับว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะล่าสุด สวนปาล์มของเขา เกิดปัญหา “ด้วง” รบกวน ทำให้ปาล์มยอดหักแล้วล้มไป 2 ต้น เลยลงทุนไปประมาณ 6 พันบาท เพื่อนำ “ฟีโรโมน” มาล่อด้วงให้ตกลงมาในถังเขาวงกต 6 จุด รอบสวน กระทั่งกำจัดไปได้หลายร้อยตัว ทำให้ชะงักระบบการขยายพันธุ์ของด้วงน้อยลง หรือแทบไม่มีแล้ว

“ถ้าไม่รีบทำ อาจลามไปต้นอื่นๆ ความเสียหายเยอะแน่ ตอนแรกไม่รู้ว่ามีพีโรโมน ช่วยแก้ปัญหาได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ปรึกษา RSPO คงเจอปัญหาหนัก”คุณหมู บอก

และขอส่งท้ายไว้ด้วยว่า

“เป็นสมาชิก RSPO ก็ดีนะ สมมติเพื่อนได้ 5 บาท แต่เราได้ 5.20 บาท ได้เงินเพิ่มมาอีก 20 สตางค์ พอสิ้นปีจะมีรายรับที่เป็นเหมือนโบนัส เรียกว่า ได้ผลผลิตเยอะก็ได้ส่วนแบ่งเยอะ ส่วนต่างที่เป็นเงินปันผล สามารถแบ่งเบาลดต้นทุนเรื่องการขนส่งได้”

“ใครที่ยังลังเลว่าจะเข้ามเป็นเกษตรกร RSPO ดีหรือเปล่า ผมว่าลองคิดทบทวนดูใหม่ เพราะเข้ามาแล้ว ไม่มีอะไรที่เสียหาย มีแต่ได้”คุณหมู สรุปบทสนทนา แบบนั้น

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

ความยั่งยืน ไม่ใช่ เทรนด์ แต่ ต้องทำ : ก้าวที่มั่นคงบนการเดินทางของ “ปาล์มน้ำมันไทย”

©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

แม้บริบทความยั่งยืน จะมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ แต่แก่นแท้ของความยั่งยืนก็ยังคงอยู่ และความยั่งยืน คือ แถวหน้าของเกษตรสีเขียว มาตรฐาน RSPO จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำไม่ใช่เทรนด์

หลายครั้งที่มักมีคนสงสัยว่า “ความยั่งยืน” คืออะไร แล้วทำไมคนตัวเล็กๆอย่างเรา ต้องสนใจเรื่องความยั่งยืน และไปจนถึงที่สุดแล้ว ความยั่งยืน นั้น เป็นแค่กระแส หรือ เทรนด์ (Trend) ชั่วครั้ง ชั่วคราว หรือเป็น “ของจริง” ที่ต้องทำให้เกิดขึ้น

อีกทั้งเมื่อมองไปถึง อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน มักมีคำถาม ความยั่งยืน เป็นอย่างไร

หนึ่งในนิยามของ “ความยั่งยืน” หรือ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” (Sustainable Development) ที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุด เห็นจะมาจาก คณะกรรมาธิการโลก ด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาขององค์การสหประชาชาติที่ระบุ “การพัฒนาที่ยั่งยืน คือ แนวทางการพัฒนา ที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดยไม่ลิดรอนความสามารถในการตอบสนองความต้องการของคนรุ่นหลัง”

และมีแก่นสำคัญ คือ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งการจะบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ นั้น ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความครอบคลุมทางสังคม  และ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

ในการประชุมสมัยสามัญ สมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 70 วันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ได้ร่วมลงนามรับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development)

เพื่อประเทศต่าง ๆ สามารถนําไปปฏิบัติให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในช่วงระยะเวลา 15 ปี (กันยายน พ.ศ. 2558 – สิงหาคม พ.ศ. 2573)

โดยกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศดำเนินการร่วมกัน โดยมีเป้าหมาย SDGs 17 ประการ ที่มีความเป็นสากล เชื่อมโยง และเกื้อหนุนกัน

ซึ่งกว่า 19 ปีที่ผ่านมา องค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (RSPO) ได้ทำงานเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และนำมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุดในโลกมาใช้ตลอดห่วงโซ่อุปทานของน้ำมันปาล์ม ตั้งแต่ต้นน้ำที่สวนปาล์ม กลางน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ในการผลิตและใช้น้ำมันปาล์มที่ผ่านการรับรองมาตรฐานมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ

ซึ่งเมื่อพิจารณาตามหลัก SDGs แล้ว มาตรฐาน RSPO นับว่ามีองค์ประกอบ 3 ประการของการบรรลุซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างครบถ้วนทุกประการ คือ Prosperity –  การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขันมีภูมิคุ้มกันและมีความยั่งยืน People – การมีวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ลดความยากจน ปกป้อง เคารพและมีการเยียวยาด้านสิทธิมนุษยชน Planet – อนุรักษ์ ปกป้อง และเสริมสร้างระบบนิเวศที่มีไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป

ตัวแทน RSPO ประจำประเทศไทย ได้เล่าถึงหัวใจในการทำงานของ RSPO ว่า ทิศทางนี้ คือความยั่งยืน คนในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มต้องอยู่ดีกินดี วิถีชีวิตดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น ลดต้นทุนได้ เพิ่มผลผลิตได้ และปาล์มในกระบวนการทั้งกระบวนอยู่ในการตระหนักต่อการรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

สำหรับการเข้ามาประเทศไทย ของ RSPO ได้สร้างมาตรฐานและองค์ความรู้แก่เกษตรกรทั่วประเทศต้นน้ำทั่วประเทศ เกิดการรวมกลุ่มดูแลช่วยเหลือกันในการทำงาน เกิดเกษตรแปลงใหญ่ ไปจนถึงวิสาหกิจชุมชน ทั้งยังได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนที่ต้องการปาล์มน้ำมัน RSPO ในประเทศไทยมีมาตรฐานและคุณภาพ มีเครื่องมือการันตีความปลอดภัย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้คุณภาพชีวิตเกษตรกรดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งยังแข่งขันได้ในเวทีโลก

เมื่อมาฟังเสียงสะท้อน ของหนึ่งในห่วงโซ่

“พอได้มาเป็นสมาชิก RSPO ก็เอาความรู้มาพัฒนาสวน ทำสวนปาล์ม ทำให้ยิ่งมีกำไร คุณจะหาได้ที่ไหนทำสวนมีรายได้เดือนละ 6-7 หมื่น ปีหนึ่งกำไรล้านกว่าบาท”

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

คุณอุดมศักดิ์ นัดดาศรีนะ สมาชิก RSPO กลุ่มวิสาหกิจชุมชนลุ่มน้ำกะแดะพัฒนาปาล์มน้ำมัน เล่าให้เราฟังถึงการเป็นสมาชิก RSPO

ก่อนบอก เขานำองค์ความรู้ในการพัฒนาสวนมาใช้บริหารจัดการสวน ซึ่งช่วยลดต้นทุนเพิ่มผลผลิตอย่างชัดเจน เป็นแบบอย่างของ Smart Farmer

และสรุปแบบจริงจัง

“การเป็นเกษตรกรไม่ควรเป็นการทำสวนอย่างไร้ความรู้ เพราะจะไม่เห็นผลอะไร การทำสวนอย่างมีความรู้ต่างหากที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืน”

การเป็นสมาชิก RSPO กิจกรรมกลุ่ม และการอบรมต่างๆ ทำให้เกษตรกรประกอบอาชีพด้วยองค์ความรู้ วิสัยทัศน์ และความเข้าใจ ทำให้ชีวิตของเกษตรกรดีขึ้นได้จริง หากแต่นี่เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของความยั่งยืนเฉพาะบุคคล

ทว่ามาตรฐาน RSPO ยังครอบคลุมการสร้างความยั่งยืนต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมั่นคงอีกด้วย   

เคยมีผู้กล่าวว่า “การก้าวเดินเพียงลำพังแม้จะประสบความสำเร็จ ก็ไม่น่าภูมิใจเท่าการมีส่วนร่วมช่วยกันทำงานเป็นทีมและประสบกความสำเร็จไปด้วยกันทั้งตัวเรา ชุมชน และสังคม”

ซึ่งความคิดนี้ สะท้อนออกมาจากสมาชิก RSPO หลายครั้งในหลายโอกาส 

ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริงต้องอาศัยความร่วมมือ ทำคนเดียวมองไม่เห็นผล แต่ถ้ามีกลุ่มร่วมกันทำจึงเป็นไปได้ ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นในพื้นที่ก่อน และขยายไประดับประเทศ”

คือเสียงสะท้อนจาก คุณเกื้อกูล เสี่ยงแทน ผู้จัดการกลุ่มยูนิวานิช – ปลายพระยา

และเพราะการเดินทางบนเส้นทางความยั่งยืน เป็นเรื่องสำคัญที่ “ต้องทำ” การจะก้าวเดินอย่างมั่นคงเครือข่ายต่างๆ จึงต้องเข้มแข็ง เพื่อมีแรงสนับสนุนกันทุกภาคส่วน ซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด

นั่นนับเป็นที่มาของ เครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย (Thailand Alliance Sustainable Palm Oil -TASPO) ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อริเริ่มกระบวนการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบห่วงโซ่คุณค่าปาล์มน้ำมันประเทศไทย และเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระบวนการผลิต และการบริโภค ในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สร้างวิถีความร่วมมือสู่ความยั่งยืนตามมาตรฐาน RSPO

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ทั้งยังเป็นการการันตีว่า อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย พร้อมที่จะเข้าสู่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ตามเป้าหมายความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) วาระแห่งชาติ BCG (Bio – Circular – Green Economy) จนถึงกระแสโลกที่ปัจจุบันที่พยามยามผลักดัน การพัฒนาเพื่อสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ

ยิ่งเมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ยุค “โลกเดือด” ที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างที่เราเห็นได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก การเดินทางสู่ความยั่งยืนคล้ายยิ่งต้องวิ่งแข่งกับเวลา ปาล์มน้ำมัน แม้จะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ต้องยอมรับว่ายังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนักเรื่องการทำลายพื้นที่ป่าไม้เพื่อขยายพื้นที่ปลูกปาล์มในหลายประเทศทั่วโลก

Planet หรือ การปกป้อง อนุรักษ์ เสริมสร้างระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม จึงเป็นหลักหนึ่งที่ RSPO ให้ความสำคัญในการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อความยั่งยืน โดยมีมาตรการควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำ 

“มาตรฐาน RSPO เป็นมาตรฐานที่ต้องการความมั่นใจว่าการผลิตปาล์มเป็นกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นี่คือ หัวใจเริ่มต้นของ RSPO” ตัวแทน RSPO ประจำประเทศไทยท่านเดิม กล่าวไว้

การเป็นสมาชิก RSPO ของเกษตรกรรายย่อย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และเกษตรแปลงใหญ่ จนถึงภาคอื่นๆ ของห่วงโซ่ในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศไทย จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและทันต่อสถานการณ์โลกเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งเกษตรกรสมาชิก RSPO ยังมีความรู้และ Mindset ที่เข้าใจ และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อก้าวสู่ความความยั่งยืนในทุกมิติ

ดังที่ คุณชวลิต วุฒิพงศ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนเพื่อการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน ศรีเจริญ (SOPEG) เคยกล่าวไว้ “ผู้บริโภค ต้องการเกษตรสีเขียว เทรนด์โลกร้อนและคาร์บอนเครดิต ทำให้เกษตรกรกรทุกประเภทต้องปรับตัวเพื่อเป็นเกษตรกรรมเพื่อความยั่งยืน และความยั่งยืน ก็คือ การกระทำที่ได้ผลอย่างต่อเนื่อง และมีพัฒนาต่อยอดไม่มีที่สิ้นสุด แม้บริบทความยั่งยืน จะมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ แต่แก่นแท้ของความยั่งยืนก็ยังคงอยู่ และความยั่งยืน คือ แถวหน้าของเกษตรสีเขียว มาตรฐาน RSPO จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำไม่ใช่เทรนด์” 

สอดคล้องกับ คุณดุสิต บู่ทอง ผู้ดูแลระบบความยั่งยืน วิสาหกิจชุมชนผลิตปาล์มน้ำมันพังงา ที่กล่าวไปในทางเดียวกันว่า

“วันนี้ที่เราสัมผัส‘ปาล์มน้ำมันยั่งยืน ทราบทันทีว่าไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่มีความเกี่ยวข้องทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงกันทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ทุกคนที่ทำเรื่องปาล์มน้ำมัน ต้องปฏิบัติรับผิดชอบร่วมกัน”

มาถึงวันนี้ บนเส้นทางของของปาล์มน้ำมันไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า “ความยั่งยืนไม่ใช่เทรนด์แต่ต้องทำ” และสามารถทำให้เกิดขึ้นจริง หากแต่ต้องร่วมไม้ร่วมมือ และเดินหน้าไปพร้อมกันทั้งองคพยพ                

เพราะ “โลก” ใบนี้ เป็นของเราทุกคน  

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

ฝ่าพายุ สู้วิกฤต ก่อนมาเป็น “โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ”

©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มของสหกรณ์ แห่งแรก-แห่งเดียว ของไทย ที่ได้การรับรองมาตรฐาน RSPO

สำหรับการจัดหาปาล์มเพื่อป้อนโรงงานสกัดฯ นั้น ได้มาจากปาล์มของสมาชิกสหกรณ์และคู่ค้า แต่ด้วยผลผลิตหลายครั้งคุณภาพไม่คงที่ จึงเกิดการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก “ปาล์มคุณภาพ” และนั่นเป็นที่มาของ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ”

“เมื่อก่อนเราไม่มีโรงงาน คนขายปาล์มต้องไปติดคิวรอขายที่โรงงาน จอดรอที 3-4 คืน ทำให้ปาล์มเสียราคา จอดรถรอจนปาล์มน้ำมันหยด เหลือโลละ 1-2 บาท”

“ประมาณปี 50 เกิดปัญหาปาล์มติดคิวมาก โรงงานต่างๆ ไม่ยอมรับซื้อ ปิดโรงงาน เราค้างรถอยู่ 7 วัน 7 คืน ผมบรรทุกปาล์มไปขาย 3 ตัน ขายได้แค่ 1.5 ตัน”

“ปริมาณปาล์มล้นตลาด สมาชิกและคณะกรรมการหลายท่านลงความเห็นว่า พวกเราควรมีโรงสกัด เพื่อไม่ให้โรงงานกดราคาเพราะปาล์มล้น โรงงานเคยกดราคาเหลือกิโลละบาทหรือบางทีไม่ถึงบาทก็มี”

เสียงเหล่านี้ สะท้อนมาจากคณะกรรมการสหกรณ์นิคมท่าแซะ ที่เล่าย้อนกลับไปถึงวันซึ่งเกิดเหตุการณ์ปาล์มล้นตลาด โรงงานสกัดปาล์มชะลอการซื้อปาล์มเมื่อช่วงปี 2550 จนเกิดความเสียหายกับเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม และสมาชิกสหกรณ์เป็นจำนวนมาก

©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ซึ่งเป็นที่มาทำให้สมาชิกสหกรณ์นิคมท่าแซะ เห็นพ้องและสนับสนุนให้ มีการสร้าง “โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ” เพื่อรับซื้อผลผลิตปาล์มของสมาชิกฯ เข้าโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มและขายน้ำมันไปยังผู้ประกอบการอีกทอดหนึ่ง

จากวันแรก ที่โรงสกัดเดินเครื่องผลิตน้ำมันเมื่อปี 2554 จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 13 ปี แล้ว เครื่องจักรยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง เป็น “โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มของสหกรณ์”แห่งแรก และแห่งเดียวของประเทศไทย ที่ได้การรับรองมาตรฐาน RSPO

แม้จะเป็นโรงสกัดขนาดเล็ก ทว่าได้ช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ และพี่น้องชาวสวนปาล์มในเขตจังหวัดชุมพร ให้มีที่ขายทะลายปาล์มในราคาสูง และยังผลิตน้ำมันคุณภาพดีมาตรฐาน RSPO สร้างความยั่งยืนทั้งต่อเกษตรกร ชุมชน และสังคม

พายุถล่ม ผลผลิตล้น วิกฤตที่ต้องเจอ

คุณนพพร ขาวสอาด รองประธานกรรมการคนที่ 1 สหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด เล่าถึงความเป็นมาของสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ให้ทีมข่าว TASPO ฟังว่า สหกรณ์นิคมท่าแซะ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว โดยเริ่มต้นจากนิคมสหกรณ์ คือ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เข้ามาจัดสรรที่ดินตั้งแต่ประมาณปี 2509 ในพื้นที่ท่าแซะ ประมาณ 60,000 ไร่ แบ่งให้เกษตรกรล็อคละ 40 ไร่ ซึ่งมีประชาชนจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศทั้งจากเหนือ กลาง อีสาน ใต้ เข้ามาอาศัยและขอพื้นที่ทำกิน

นพพร ขาวสอาด รองประธานกรรมการคนที่ 1 สหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ในตอนนั้น นิคมท่าแซะ ถือว่าจัดสรรที่ดินได้ใหญ่ที่สุด ปริมาณพื้นที่มากถึง 40 ไร่/แปลง/คน เมื่อจัดสรรพื้นที่ให้ประชาชนแล้ว มีข้อกำหนดว่า เมื่อได้พื้นที่จัดสรรเป็นสมาชิกนิคมสหกรณ์ ต้องเป็นสมาชิกสหกรณ์ท่าแซะด้วย จึงเกิดกระบวนการเริ่มต้นของสหกรณ์นิคมท่าแซะ

มีกิจการ เช่น ธุรกิจลานเท รวบรวมผลผลิตปาล์มน้ำมันไปขายโรงงาน ธุรกิจปั๊มน้ำมัน 4 สาขา (สำนักงานใหญ่, ปากด่าน ท่าลานทอง และดินก้อง) ธุรกิจมินิมาร์ท 4 สาขาที่เดียวกับธุรกิจปั๊มน้ำมัน  ธุรกิจรับฝากเงินและสินเชื่อ ธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตร เช่น จำหน่ายปุ๋ย พันธุ์ปาล์ม

กระทั่งวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532 “ไต้ฝุ่นเกย์” พัดถล่มภาคใต้ และจุดศูนย์กลางพายุ อยู่ที่อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร

“ตอนพายุมา ต้นไม้หักโค่น บ้างก็ถอนขึ้นมาทั้งต้น บ้านพัง จนต้องหนีไปอยู่ในรถ เห็นแต่ฝุ่นผงปลิวกระจัดกระจายจนกระจกรถขาวไปหมด”

คุณนิพนธ์ เทศรัตน์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ ย้อนอดีตในวันที่วาตภัยเคลื่อนผ่านอำเภอท่าแซะ เพียงหนึ่งวัน-หนึ่งคืน ทุกอย่างถูกทำลายราบ ส่งผลให้ภาครัฐ มีแนวทางเข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกปาล์มน้ำมันมากขึ้น

นิพนธ์ เทศรัตน์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

ซึ่งพื้นที่ของนิคมสหกรณ์นั้น เหมาะกับการปลูกปาล์มน้ำมัน บรรดาสมาชิกของสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ซึ่งเวลานั้น มีจำนวนเกือบๆ 4,000 คน แบ่งเป็นสมาชิกสามัญประมาณ 3,800 ส่วนที่เหลือเป็นสมาชิกสมทบ จึงพร้อมใจกันปลูก “ปาล์มน้ำมัน” เพิ่มมากขึ้นกว่า 5 หมื่นไร่ จากพื้นที่ 6 หมื่นกว่าไร่ของสมาชิกสหกรณ์ฯ

กระทั่งเวลาไล่เรียงมาถึงปี 2550 เกิดวิกฤตส่งผลกระทบต่อชาวสวนปาล์มท่าแซะอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ “ปาล์มล้นตลาด” ทำให้โรงสกัดน้ำมันปาล์ม ชะลอการซื้อผลผลิตจนถึงขั้นงดรับซื้อ ทำให้ราคาปาล์มตกต่ำ เกษตรกรที่ไปจอดรถรอขายปาล์มหน้าโรงงานต่างๆ ติดคิวขายปาล์มไม่ได้ข้ามวัน ข้ามคืน บางรายติดคิวเป็นอาทิตย์ ราคาปาล์มจากกิโลกรัมละ 4 บาท ตกไปจนไม่ถึง 1 บาท สร้างผลกระทบให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มเป็นวงกว้าง

“ปี 2550 มีปัญหาปาล์มติดคิวมาก โรงงานต่างๆ ไม่ยอมรับซื้อ ปิดโรงงาน เราค้างรถอยู่ 7 วัน 7 คืน ผมบรรทุกปาล์มไปขาย 3 ตัน ขายได้แค่ 1.5 ตัน” คุณดาวุธ แสนสุข คณะกรรมการสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ย้อนความทรงจำ แววตาหม่น

ดาวุธ แสนสุข คณะกรรมการสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

เกิดกลุ่ม วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น คณะกรรมการและสมาชิกสหกรณ์นิคมท่าชนะ จำกัด จึงสนับสนุนให้มีการสร้างโรงสกัดน้ำมัน เป็นของกลุ่มตนเอง

“ปริมาณปาล์มล้นตลาด สมาชิกและคณะกรรมการหลายท่านลงความเห็นว่า เราควรมีโรงสกัด เพื่อไม่ให้โรงงานกดราคาเพราะปาล์มล้นมาก โรงงานกดราคาเหลือบาทหรือไม่ถึงบาท” คุณนพพร ขาวสอาด รองประธานกรรมการคนที่ 1 สหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด เผยจุดเริ่มนับหนึ่ง

โดย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มของสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด จังหวัดชุมพร เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556

โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ถูกสร้างขึ้นจากเงินก้อนแรก ด้วยวิธี Turn Key คือ มีบริษัทออกทุนสร้างโรงงานให้ แล้วสหกรณ์ฯ ทยอยจ่ายคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย

©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

หลังจากโรงงานสกัดฯ ดำเนินการได้ 1 ปี และมีกำไรเป็นที่น่าพอใจ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. จึงเข้ามาให้เงินกู้กับสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด เพื่อไปชำระหนี้การ Turn Key และเข้ามาเป็นเจ้าหนี้แทน

สำหรับการจัดหาปาล์มเพื่อป้อนโรงงานสกัดฯ นั้น ได้มาจากปาล์มของสมาชิกสหกรณ์และคู่ค้า แต่ด้วยผลผลิตหลายครั้งคุณภาพไม่คงที่ จึงเกิดการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก “ปาล์มคุณภาพ” และนั่นเป็นที่มาของ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ”

หากอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ ก็คือ สมาชิกสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ที่ทำปาล์มน้ำมันมาตรฐาน RSPO โดยถ่ายโอนมาจากโครงการเกษตรแปลงใหญ่ มาเป็นโครงการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืน RSPO เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2561 แต่ติดช่วงสถานการณ์โควิด 19  จึงสามารถตรวจประเมินแล้วเสร็จ มีผู้ผ่านการรับรองเป็นสมาชิก RSPO รุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 จำนวน 422 ราย มีพื้นที่ 9,140.75 ไร่

ไม่มองแต่ค่าพรีเมี่ยม เห็นผลดีจริง จึงบอกต่อ

คุณนิพนธ์ เทศรัตน์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ เล่าถึงการทำงานของวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ ว่า ที่ผ่านมา ต้องอำนวยความสะดวกให้สมาชิกมากพอสมควร เนื่องจากเกษตรกรส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งคนจะเป็นสมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจ ต้องมีที่ดินของตัวเองและมีเอกสารสิทธิ์เท่านั้น และปัจจุบันทุกคนมาจากสมาชิกสหกรณ์นิคมท่าแซะ ทั้งหมด ยังไม่มีสมาชิกกลุ่มอื่น

“สำหรับการทำงานกับเกษตรกร เราให้คำแนะนำในสิ่งที่ปฏิบัติได้ เชื้อเชิญโดยไม่บังคับใจกัน พอเขาเห็นประโยชน์ จะทำตามเอง” คือหลักการทำงานที่ คุณนิพนธ์ บอกก่อนเล่าต่อ

“สมาชิกฯ มักชินกับการที่สมัครอะไรแล้วได้เลย พอมาสมัครเป็นสมาชิก RSPO ต้องใช้เวลา ทำให้ช่วงแรก เกษตรกรไม่เข้าใจ ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจ มีการอบรมกันตลอด เราไม่ได้เน้นให้เกษตรกรมองแต่ค่าพรีเมี่ยมที่จะได้รับ แต่แนะนำว่าถ้าคุณทำปาล์มปริมาณเท่านี้ แล้วขายผลผลิตได้มากขึ้นจะเป็นอย่างไร และยังมีค่า    พรีเมี่ยมไปอีก ได้ผลประโยชน์หลายต่อ รวมถึงค่าคาร์บอนเครดิต เมื่อเขาทำแล้วเห็นผลได้จริง เขาบอกต่อ คนอื่นอยากเข้าร่วมเพิ่ม”

สำหรับผลผลิตปาล์มที่ได้ สมาชิกจะส่งขายให้กับ โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ซึ่งมีข้อกำหนดว่า “ต้องขายรวมทั้งทะลายปาล์มและลูกร่วง” เพื่อให้ได้ค่าเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูง

©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

โดยสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด มีจุดรวบรวมผลผลิต 9 แห่ง สมาชิกอยู่ใกล้จุดไหนสามารถไปส่งที่จุดนั้น และจะมีรถบรรทุกมาส่งที่ โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัดแต่หากสมาชิกฯ มาส่งที่ โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด จะได้บวกเงินค่าขนส่งเพิ่มด้วย

คุณนิพนธ์ เล่าถึงราคาขายปาล์มของสมาชิกว่า ที่นี่ให้ราคาพรีเมี่ยมกับสมาชิกสูง คือ บวกราคาพรีเมี่ยม 20 สตางค์ ถ้าการตัดได้มาตรฐานเพิ่มอีก 30 สตางค์ หักเข้ากลุ่มฯ 5 สตางค์ เหลือให้สมาชิก 45 สตางค์ จากราคาขายหน้าป้ายเป็นราคาที่ให้กับสมาชิก RSPO ค่อนข้างเยอะกว่าที่อื่น แต่มีเงื่อนไข คือ ต้องตัดสุก สีต้องส้ม ขั้วทะลายสั้น ขายรวมหมดไม่แยกขายเม็ดร่วง หรือชั่งขายรวม เพราะจะทำให้เปอร์เซ็นต์น้ำมันขึ้นได้เยอะ

อยากได้น้ำมันปาล์ม RSPO ต้องมาหาเรา คือ สิ่งที่คาดหวัง

คุณไกรฤกษ์ ดวงคงทอง ผู้จัดการสหกรณ์ ฝ่ายจัดการโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด กล่าว ถึงการทำปาล์ม RSPO ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ ให้ฟังว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่เกษตรกรได้ทำระบบ RSPO เพราะโดยปกติ เกษตรกร เขาไม่มีระบบในการทำอาชีพ แต่ระบบนี้ จะทำให้พวกเขาดำเนินอาชีพได้อย่างยั่งยืน และลดความเสี่ยง ลดต้นทุน วันนี้ RSPO ทำในเรื่องการลดต้นทุนมากกว่า เราลดต้นทุนที่มองไม่เห็น ถ้าไม่จด ไม่เขียน จะไม่รู้เลย

ไกรฤกษ์ ดวงคงทอง ผู้จัดการสหกรณ์ ฝ่ายจัดการโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“สำหรับโรงงานสกัดฯ ต้องเพิ่มกำลังการผลิต เพราะเมื่อเพิ่มประสิทธิภาพของต้นน้ำ ปรับสายพันธุ์ จนเป็นสมาชิก RSPO แล้ว มีผลผลิตมากขึ้น โรงงานสกัดฯ ที่เป็นกลางน้ำต้องปรับตัว เปลี่ยนเครื่องจักร ต้องเป็น Automation – การทำงานที่ใช้เทคโนโลยี มีคอมพิวเตอร์เข้ามาทำงานมากขึ้น เพื่อปรับลดคน ลดค่าใช้จ่าย และไปต่อยอดว่าเมื่อปาล์มเป็นน้ำมันแล้วจะไปไหน ไปสู่บริโภค ไปสู่พลังงาน หรือเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่กำลังศึกษาอยู่จากผลพลอยได้ คือน้ำมันปาล์มแดง ที่ตอนนี้ มีการส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น” ผู้จัดการสหกรณ์ ฝ่ายจัดการโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด บอกอย่างนั้น

ปัจจุบัน โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด เป็นโรงงานมาตรฐาน RSPO Supply Chain แบบ Mass Balance ที่ต้องการปาล์มป้อนเข้าโรงสกัดจำนวน 500 ตัน/วัน โดยรับปาล์มจากสมาชิกสกรณ์ทั้งจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ สมาชิกทั่วไปของสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด และคู่ค้า ซึ่งจะขายปาล์มได้ในราคาที่มากกว่าสมาชิกสหกรณ์เล็กน้อย แต่ไม่มีค่าขนส่ง และต้องคัดคุณภาพปาล์มก่อน

หากมองด้วยสายตาคนนอก การทำน้ำมันในระบบ Mass Balance ที่คละปาล์มจากสวนเกษตรกร RSPO และ ปาล์มทั่วไป อาจเป็นเรื่องยากมาก

ประเด็นนี้ คุณพุทธิพงษ์ ขวัญเมือง รองผู้จัดการฝ่ายโรงงาน บอกว่า สิ่งที่โรงงานสกัด ทุกแห่งเป็นเหมือนกันหมด คือ ไม่สามารถกำหนดวัตถุดิบได้ ถ้าเป็นอุตสาหกรรมอื่น กำหนดได้เลย ฤดูกาล สายพันธุ์ พื้นที่ก็ไม่เหมือน ความต่างไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเดือนหน้าจะเจออะไร ต้นทางควบคุมไม่ได้ แต่ปลายทางต้องการให้เป็นแบบนี้ สิ่งนี้คือความยาก แต่ละช่วงต้องมีวิธีการที่แตกต่างกันไป ซึ่งทุกที่ในอุตสาหกรรมปาล์มต้องพยายามให้เหมือนกันให้มากที่สุด

พุทธิพงษ์ ขวัญเมือง รองผู้จัดการฝ่ายโรงงาน
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

“การทำปาล์มคุณภาพมีรายละเอียดเยอะ เวลารับปาล์มจากสมาชิกทั่วไป พยายามใช้เกณฑ์เดียวกับของ RSPO แต่อาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่สำคัญปาล์มต้องสุก 100 เปอร์เซ็นต์ และมีลูกร่วง ซึ่งช่วงหนึ่งเปอร์เซ็นต์น้ำมันได้ถึง 19 เปอร์เซ็นต์ แต่ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย อย่างที่ผ่านมาเป็นช่วงเอลนินโญ่ ปาล์ม RSPO ก็ดึงไม่ขึ้น เพราะมันเกี่ยวกับหลายปัจจัยด้วย” คุณพุทธิพงษ์ บอก

และว่า วันหนึ่งโรงงานเราจะเป็นโรงงาน RSPO ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปาล์มที่เข้าสู่กระบวนการของเราทั้งหมดเป็นปาล์ม RSPO ทั้งหมด ถ้าถึงวันนั้นเชื่อว่าการบริหารจัดการจะง่ายกว่านี้ ในแง่การตลาด ใครที่อยากได้ น้ำมัน RSPO ต้องมาหาเรา นี่คือสิ่งที่คาดหวังในอนาคต และคิดว่าน่าจะเป็นไปได้

RSPO ปัจจัยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ช่วยเรื่องการอนุรักษ์

เมื่อสอบถามเกี่ยวกับ กระบวนการรับซื้อปาล์ม เพื่อเข้าสู่กระบวนการสกัดน้ำมันของโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ทาง คุณนพพร ขาวสะอาด รองประธานกรรมการคนที่ 1 สหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด อธิบายให้ฟัง

เริ่มจาก เมื่อมีคนมาขายปาล์ม จะมีการแยกบัญชี โดยสมาชิกวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ มีบัตรสมาชิก เวลามาขายปาล์มนำเข้าห้องชั่ง จดบันทึก และมีตั๋วส่งไปยังสำนักงานของวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ ด้วย

ส่วนสมาชิกอื่นๆ ที่ไม่ใช่ RSPO จะทำการบันทึกอีกแบบ มีความแตกต่างกันชัดเจน แต่ทางโรงงานสามารถตรวจสอบไปยังต้นทางไปถึงสวนได้ว่า ปาล์มที่นำมาขายนั้นมาจากสวนไหน

ทั้งนี้ โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด ยังมีข้อมูลสมาชิกด้วยว่า แต่ละวันสวนไหนจะมีการตัดปาล์ม ทั้งสมาชิกสวน RSPO และสวนทั่วไป จึงทำให้ โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ สามารถประเมินได้ว่าจะมีผลผลิตเข้าเท่าไหร่ และต้องหาซื้อผลผลิตจากคู่ค้าเพิ่มอีกเท่าไหร่ เหมือนเป็นการการันตีว่าโรงงานสกัดฯ ต้องมีผลผลิตทุกวัน ส่วนเกษตรกร มีที่ขายผลผลิตแน่นอน เป็น “สัญญาใจ”ที่สหกรณ์ช่วยสมาชิก สมาชิกช่วยสหกรณ์เช่นกัน

“สมาชิกวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน RSPO ท่าแซะ เป็นสมาชิกสหกรณ์อยู่แล้ว เราได้ช่วยสหกรณ์ในการขับเคลื่อนโรงกลั่น การที่สหกรณ์สร้างโรงงานสกัด เพราะต้องการปริมาณปาล์ม ถ้าสมาชิกไปขายที่อื่น ก็ขัดกับหน้าที่ของสมาชิก ดังนั้นการขายให้สหกรณ์ทำให้สหกรณ์มีปริมาณปาล์มที่เพียงพอ” คุณนพพร บอก

และว่าต่อ เมื่อปาล์มเข้าสู่กระบวนการสกัด ผลิตภัณฑ์ที่ได้หลักๆ คือ น้ำมันปาล์ม โดย โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ ขายอยู่ 2 แบบ คือ ขายผ่านคนกลาง เรียกว่า ขายสดหน้าโรง ผู้ซื้อจะนำรถมารับน้ำมันและจ่ายเงินให้โรงสกัดทันที และการขายผ่าน RSPO ไปยัง บริษัท เอสดี กัทธรี อินเตอร์เนชั่นแนล มรกต จำกัด (มหาชน) หรือ ไซม์ ดาร์บี้ ออยส์ มรกต เป็นการขาย Refine Processing ใช้เวลารอ 15 วันถึงจะได้รับเงิน

©TASPO/สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์

ส่วนผลผลิตอื่นๆ นอกเหนือจากน้ำมันปาล์ม นับตั้งแต่ ทะลายเปล่า ขายให้สมาชิกสหกรณ์นำไปเพาะเห็ดฟาง หรือส่งโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า เมล็ดในปาล์ม ส่วนใหญ่ผู้ซื้อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โอเลโอเคมีคอล กะลา ขายให้โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า เส้นใย ขายให้สมาชิก ไปทำอาหารสัตว์

น้ำเสีย จากโรงงานทั้งหมดส่งไปโรงงานไบโอแก๊ส เพื่อผลิตแก๊สมีเทน ปั่นกระแสไฟฟ้าขายการไฟฟ้า ซึ่ง โรงงานสกัดปาล์มน้ำมันสหกรณ์นิคมท่าแซะ ทำสัญญากับทางการไฟฟ้า ไว้ที่ 1.6 เมกะวัตต์ ตะกอนจากบ่อน้ำเสีย ขายทำปุ๋ยชีวภาพ และสุดท้าย คือ ขี้เถ้า แจกให้กับสมาชิก

“RSPO เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้มูลค่าในการขายผลิตภัณฑ์ของเราเพิ่มขึ้น ช่วยเรื่องอนุรักษ์ได้อีกทาง และต่อไปจะมีเรื่องของคาร์บอนเครดิตอีก ในฐานะเกษตรกร มองว่า RSPO เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สมาชิกได้ผลประโยชน์จากการขายปาล์มเพิ่มขึ้น จึงหวังว่าในอนาคต สมาชิกของเราทุกคนจะเป็น RSPO ทั้งหมด และเราเองจะกลายเป็นโรงงานสกัดปาล์มน้ำมัน RSPO แบบเต็มตัว” รองประธานกรรมการคนที่ 1 สหกรณ์นิคมท่าแซะ จำกัด สรุปทิ้งท้าย

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

สารคดีภาพ | แรงงานข้ามชาติ ฟันเฟืองห่วงโซ่ปาล์มน้ำมัน

©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์

เรื่องใหญ่ ไม่อาจมองข้าม! สวัสดิการ แรงงานต่างชาติ ฟันเฟืองห่วงโซ่ปาล์มน้ำมัน

“พ่อแม่ของพวกเขาอยู่กับเรามานาน แล้วก็มาคลอดลูกในเมืองไทย เลยอยากให้ลูกพวกเขาได้เรียนที่เมืองไทย รู้ภาษาไทย จะได้พูดคุยสื่อสารกันรู้เรื่อง”

สาเหตุทำให้เกษตรกรสวนปาล์มของไทย ไม่สามารถพึ่งพา “แรงงานครัวเรือน” ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นั้น มาจากหลายปัจจัย นับตั้งแต่ อายุของเกษตรกรที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย เกษตรกรหลายสวนเป็นผู้หญิง พื้นที่เพาะปลูกเข้าออกลำบาก หรือแม้แต่ความสูงของต้นปาล์ม ขณะที่งานตัดปาล์มนั้นเป็นงานหนักและต้องใช้ทักษะความชำนาญด้วย

จากข้อเท็จจริงข้างต้น นับเป็นจุดก่อเกิด “ธุรกิจบริการ” หนึ่งในห่วงโซ่อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันบ้านเราในนามของ “ลานเท” มีบทบาทหลัก คือรับซื้อปาล์มน้ำมันจากสวน โดยมี “ทีม”จากลานเท เข้าไป “ตัดปาล์ม” ให้ถึงสวนของเกษตรกรตามที่ตกลงกัน

“เกษตรกรสวนปาล์ม ยังมีความต้องการพึ่งแรงงานไทย ร้อยละ 85 ส่วนอีกร้อยละ 15 ยอมรับการใช้แรงงานข้ามชาติ โดย แรงงานพม่า เป็นที่ต้องการมากที่สุด”คือ ข้อมูลส่วนหนึ่งได้มาจากการลงพื้นที่ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง

เมื่อจำเป็นต้องมี “แรงงานข้ามชาติ”เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ ที่ผ่านมา องค์กรระหว่างประเทศ อย่าง องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization – ILO) จึงเข้ามามีบทบาท ที่ผ่านมามีการระบุถึงปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในภาคเกษตรกรรม คือ กรณีค่าจ้างค้างจ่าย และ การจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

ขณะที่ องค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil – RSPO) ก็มีแนวปฏิบัติสำหรับสมาชิก RSPO เกี่ยวกับการใช้แรงงานในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ในหลายประเด็น เช่น การใช้แรงงานเด็ก สิทธิร้องเรียน ค่าแรงที่เป็นธรรม สวัสดิการพื้นฐาน เป็นต้น

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์

“จีรวรรณ ปาล์ม” คือ ชื่อของผู้ประกอบการลานเทปาล์มน้ำมัน อยู่ที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี คุณจีรวรรณ ซัวต๋อ เป็นผู้ดูแล  และแม้จะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก RSPO แต่ว่ากันว่า การดูแล “แรงงาน” ของลานเทปาล์มน้ำมันแห่งนี้ อยู่ในระดับมาตรฐานน่าเรียนรู้

“ทำลานเท มาตั้งแต่ปี 2549 รับงานหลายอย่าง นอกจากมีทีมตัดปาล์มแล้ว ยังมีบริการเครื่องย่อยทางปาล์มในสวน และบริการรถแบ็กโฮ ไปลอกคู-คลอง ในสวนปาล์ม”คุณจีรวรรณ ให้ข้อมูลเริ่มต้น

ก่อนเผยให้ฟังต่อ ปัจจุบันมีทีมแรงงานประจำลานเท ประมาณ 120 คน แบ่งเป็นคนไทย 30 คน ทำหน้าที่คนคุมทีมตัดและขับรถ ที่เหลือเป็นแรงงานสัญชาติพม่า

“แรกๆ รับเข้ามาเฉพาะผู้ชายมาทำงาน พออยู่นานๆ เข้า เขาอยากมีเมีย มาบอกจะขอแต่งงาน เราก็ไม่มีปัญหา พอมีเมีย-มีลูก ตามมา เลยต้องอยู่เป็นครอบครัว พอเด็กๆ โต เราเลยส่งให้เรียน เพราะเด็กเกิดที่เมืองไทย” คุณจีรวรรณ เล่าอย่างนั้น

ก่อนเผยถึงสวัสดิการที่ทางลานเทของเธอ จัดสรรให้กับแรงงานพม่า คือ มีบ้านพักให้อยู่ฟรี มีสวัสดิการให้ลูกพวกเขาเรียนฟรี มีรถรับ-ส่งเด็กๆ 22 คน ไปโรงเรียน

©TASPO/ศรยุทธ รุ่งเรือง
©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์
©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์

“พ่อแม่ของพวกเขาอยู่กับเรามานาน แล้วก็มาคลอดลูกในเมืองไทย เลยอยากให้ลูกพวกเขาได้เรียนที่เมืองไทย รู้ภาษาไทย จะได้พูดคุยสื่อสารกันรู้เรื่อง”คุณจีรวรรณ เผยเหตุผล

ก่อนบอกสวัสดิการที่ให้กับลูกๆของแรงงานพม่า นั้น บรรดาพ่อแม่ของพวกเขาก็ชอบ เพราะอย่างน้อย ลูกๆ เขามีโอกาสได้อบรมบ่มนิสัย รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เจอผู้หลักผู้ใหญ่ยกมือไหว้ เหมือนเด็กไทยทั่วๆ ไป

นอกจากนี้ ยังมีสวัสดิการช่วยลดค่าครองชีพ คือ เปิดร้านของชำราคาย่อมเยาให้กับครอบครัวแรงงาน ทั้งกว่า 100 ชีวิต

“แต่เดิมเราเปิดร้านขายของชำอยู่แล้ว กระทั่งเร็วๆนี้ ทางแมคโคร มาติดต่อ ขอตกแต่งทำร้านให้เหมือน     แมคโครย่อยๆ มาส่งของ และกำหนดราคามาให้เราขาย ในราคาไม่แพง พูดตรงๆ ราคาถูกกว่า 7 – 11 เยอะ เราก็วิน-วิน คนงานได้ซื้อของถูกด้วย” เจ้าของลานเทจีรวรรณ บอก

©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์
©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์

ถามถึงการดูแลแรงงานข้ามชาติจำนวนนับร้อย มีปัญหาหนักใจอะไรบ้างหรือไม่ คุณจีรวรรณ บอกตรงๆ มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ แก้ไขได้ไม่ยาก เพราะต่างฝ่ายต่างซื่อสัตย์ต่อกัน เราซื่อสัตย์ต่อเขา เช่น จ่ายค่าแรงงานตามตกลง ไม่ผิดเพี้ยน ไม่บิดเบี้ยว วันและเวลาที่จ่ายค่าแรงก็ตรง ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดราชการ เสาร์/อาทิตย์ นักขัตฤกษ์ อะไรก็แล้วแต่ไม่เกี่ยว

สัญญากันว่าเดือนหนึ่ง เงินเดือนพวกเขาออก 2 ครั้ง วันที่ 2 หนึ่งครั้ง วันที่ 17 หนึ่งครั้ง เราจ่ายตรงตามนั้น พวกเขาก็ตรงกับเรา ทำงานตรงๆ ไม่มีมีปัญหาอะไร ต่างฝ่ายต่างซื่อสัตย์ต่อกัน

ที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานบ้างหรือไม่ คุณจีรวรรณ บอกส่งท้าย

“ไม่เคยมีปัญหานี้ เพราะที่นี่มี กฎ-กติกากลับบ้านต้องลาล่วงหน้า พวกเขาก็มาลาล่วงหน้าขอกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ล่วงหน้า 1 เดือน บางคน 10 วัน บางคน 20 วัน ก็แล้วแต่ แต่ขั้นต่ำส่วนใหญ่ 20 วัน แล้วเขาก็กลับมาทำงานตามปกติ ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้ลากลับกันบ่อย 2-3 ปี จะลากันซักที แบบปีหนึ่งลากลับ ไม่มี”

รายงาน / ทีมข่าว TASPO

©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์
©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์
©TASPO/พิชญ์ เยาว์ภิรมย์

จากสวนปาล์มถึงลานเท: เส้นทางความยั่งยืน เชื่อมโยง เข้มแข็ง ไม่ขาดสาย

ไทย เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกปาล์มน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ล่าสุดมีพื้นที่ปลูกรวมกัน ทั่วประเทศกว่า 6 ล้านไร่ และมีพื้นที่ปลูกปาล์มในภาคใต้มากที่สุดกว่า 86 เปอร์เซ็นต์

หากเปรียบเทียบระหว่างการใช้พื้นที่ปลูกพืชน้ำมันชนิดต่างๆ ปาล์มน้ำมันจะผลิตน้ำมันได้ถึงร้อยละ 35

โดยใช้พื้นที่ปลูกน้อยกว่าพืชชนิดอื่นๆ มากกว่าร้อยละ 10 นั่นหมายถึง ปาล์มน้ำมันใช้พื้นที่ในการปลูกน้อยกว่าแต่ได้ผลผลิตที่มากกว่านนั่นนเอง

สำหรับบริบทของไทย นั้น “เส้นทางปาล์มน้ำมัน” อาจมีความแตกต่างจากประเทศอื่น เนื่องด้วยการมีผู้ทำหน้าที่ รับซื้อผลปาล์มสุกเพื่อนำไปขายต่อยังโรงสกัดหรือโรงงาน ที่เรียกว่า “ลานเท” นั้น เปรียบได้กับเป็น “ข้อต่อ” สำคัญ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เกษตรกร ลำเลียงผลผลิตไปยังโรงงาน จนถึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่จะทำให้ได้มาซึ่ง “น้ำมันคุณภาพ” และมีส่วนกำหนดราคาปาล์มน้ำมันในบ้านเรา

มีข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า เมื่อสิ้นปี 2566 มี ลานเททั่วประเทศ ที่แจ้งต่อกองชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จำนวน 3,308 แห่ง อยู่ในภาคใต้ 3,147 แห่ง ภาคเหนือ 7 แห่ง ภาคกลาง 28 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 แห่ง และอื่น ๆ 91 แห่ง

เส้นทางจาก “สวนปาล์มถึงลานเท” จึงเป็นเรื่องสำคัญมองข้ามไม่ได้ เพราะบทบาทของลานเท นั้น คือ  ผู้รับเหมาเก็บ เกี่ยวผลผลิต ตัดแต่ง ตลอดไปจนถึงจัดหาคนดูแลสวนให้กับเจ้าของสวนปาล์ม

“ลานเท” จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการเป็นส่วนหนึ่งของ “เส้นทางปาล์มน้ำมันยั่งยืน”ที่เข้มแข็งของประเทศไทย  

©TASPO

เส้นทางปาล์มน้ำมันจากสวนปาล์มถึงลานเท ที่นำเสนอในครั้งนี้ ทีมข่าว TASPO ได้รับการบอกเล่า จาก คุณเล็ก-สุมาตร อินทรมณี เจ้าของลานเทคลองน้อยปาล์ม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประธานกลุ่ม RSPO คลองน้อย ศูนย์เรียนรู้ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรกิจกรรมปาล์มน้ำมัน ในฐานะนายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมันจังหวัด สุราษฎร์ธานี และประธานเครือข่ายแปลงใหญ่ภาคใต้

คุณเล็ก เล่าให้ฟังว่า ทุกๆ เช้า คนตัดปาล์มจะเดินทางไปยังสวนปาล์มที่ว่าจ้างตัดปาล์ม ซึ่งโดยทั่วไปจะมีคนตัดปาล์ม 2 แบบ คือ ทีมตัดอิสระ และ ทีมตัดของลานเท หากเป็นทีมตัดของลานเท จะมีการบริหารจัดการให้ลงรอบพอดี คนตัดปาล์มจะมีงานทำทุกวัน พูดง่ายคือ เป็นอาชีพที่มีรายได้ทุกวัน ชาวสวนเอง ก็จะมีคนตัดปาล์มทุกรอบไม่ต้อง เที่ยวหาคนตัดปาล์มทุกๆ ครั้ง

ซึ่งทีมตัดแต่ละทีม จะมีสวนที่จะเข้าตัดประจำ เพื่อความสบายใจกันทั้งเจ้าของสวนและคนตัดปาล์ม เพราะส่วนใหญ่ เจ้าของสวน ไม่ได้มาดูแลเวลาเข้าตัดปาล์ม แต่จะไปรอชั่งผลผลิต และรับเงินที่ลานเท

ส่วนคนตัดปาล์ม จะมีงานทำประจำ โดยมีรายรับตามแต่กำหนดของแต่ละลานเท เช่น รับเงินเป็นรายวัน หรือ ทุก 15 วัน

©TASPO

เมื่อทีมตัดไปถึงสวนปาล์ม ต้องเริ่มเดินสำรวจไลน์ วางแผน สำรวจปาล์มสุก ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยทีมตัด จะได้รับการอบรมเรื่องการตัดปาล์ม ความปลอดภัยในการทำงาน จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างสม่ำเสมอ

©TASPO

เกี่ยวกับสีผลสุกของปาล์มน้ำมัน นั้น แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ

  •  ผลดิบสีดำ เมื่อสุกผลเป็น สีแดง (Nigrescens)
  •  ผลดิบสีเขียว เมื่อสุกผลเป็น สีส้ม (Virescence)
  •  สีผิวเปลือก เมื่อสุกเป็น สีเหลืองซีด (Albescens) (มีน้อยมาก)

ส่วน เกณฑ์พิจารณาความสุกของผลปาล์มต้องดูองค์ประกอบต่างๆ ประกอบกัน เช่น จำนวนลูกร่วงตามธรรมชาติ สีผลปาล์มที่เปลี่ยน 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความชำนาญของคนตัดปาล์มในการดูปาล์มสุก โดยรอบ ตัดปาล์มแต่ละสวนของทีมตัดคลองน้อยจะอยู่ที่ 20 วัน และวนไปตามสวนต่างๆ

©TASPO

ทีมตัดแต่ละชุด อาจใช้คนเพียง 2-3 คน ไปจนถึง 5-6 คน ตามความเหมาะสม สำหรับทีมคนตัดปาล์มของลานเท คลองน้อยปาล์ม

คุณเล็ก บอก มี 40 คน เช่น ชุดตัดปาล์มของ คุณสง่า พรมเกิด และคุณจันทิมา เคี่ยมการ สองสามีภรรยา ที่เริ่มเข้าสวน 9 โมงเช้า และเลิกงานบ่าย 3 โมง

©TASPO

แม้จะทำงานกันเพียง 2 คน ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะที่ผ่านมา ได้ผ่านการอบรมการตัดปาล์มมา บวกกับประสบการณ์กว่า 10 ปี ทำให้ก่อนลงมือตัดปาล์ม ต้องมีการวางแผนก่อน

โดยคุณสง่า เป็นคนตัด ยกลำเลียง ส่วนคุณจันทิมา ช่วยลำเลียงนำปาล์มใส่รถเข็น เก็บลูกร่วง จนถึงเรียงทางใบให้สวน เรียบร้อย และโดยทั่วไปจะใช้เวลาตัดปาล์มแต่ละสวนวันเดียวให้เสร็จ แต่ถ้าเป็นสวนใหญ่หรือตัดไม่เสร็จ จะมาตัดกันต่อในวันต่อไป

©TASPO

ลูกร่วง คือ ผลปาล์มสุกจัดที่มีปริมาณน้ำมันสูง ขายได้ราคาดีกว่าปาล์มทะลาย ความซื่อสัตย์ของคนตัดปาล์ม และ ลานเท จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะเก็บลูกร่วงใส่กระสอบเพื่อนำไปส่งลานเทให้เจ้าของสวน 

©TASPO

อาชีพคนตัดปาล์มเป็นอาชีพที่สามารถทำได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คุณจันทิมา เล่าว่า แม้จะเป็นงานหนักแต่เหนื่อยก็พักได้ และเป็นงานอิสระ ซึ่งเธอและครอบครัวสามารถจัดสรรเวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นได้ หรือ หากเหนื่อยล้าสะสม สามารถบอกเถ้าแก่เพื่อขอหยุดพักได้

©TASPO

รายได้ของคนตัดปาล์มจะอยู่ที่ 500 – 800 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับแต่ละลานเท สภาพภูมิประเทศ พื้นที่ ความยากง่าย ในการเข้าตัดปาล์ม เช่น ความสูงของต้นปาล์ม พื้นที่เนินสูงต่ำ ไม่ราบเรียบเสมอกัน หรือน้ำท่วมสวนหรือไม่ เป็นต้น

©TASPO

เมื่อตัดปาล์มเสร็จ ขนย้ายมาลำเลียงขึ้นรถและเตรียมส่งลานเท คนตัดปาล์ม จะโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าของสวนไปรอที่ ลานเท เพื่อดูการชั่งน้ำหนักปาล์มและรับเงิน สำหรับราคารับซื้อ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและบริการของแต่ละลานเท เป็นหลัก

©TASPO

เมื่อชั่งน้ำหนักเรียบร้อย ทะลายปาล์มจะถูกลำเลียงมากองรวมกัน โดยมีคนลงปาล์มและดูความสุก-ดิบ ตรวจคุณภาพ ทะลายปาล์มอีกครั้ง ถ้ามีปาล์มดิบหลงมา ต้องคัดออก และขนปาล์มคุณภาพ ขึ้นรถพ่วงเตรียมส่งโรงงานภายใน 24 ชั่วโมง

©TASPO

ลูกร่วงที่เก็บมาจะถูกแยกชั่ง เนื่องจากราคาสูงกว่าราคาปาล์มทะลาย เช่น ราคาปาล์มทะลาย กิโลกรัมละ 4.30 บาท ลูกร่วง อาจได้ราคา กิโลกรัมละ 5 บาท

©TASPO

ผลผลิตปาล์มจากลานเทคลองน้อยปาล์ม ทั้งปาล์มทะลายและลูกร่วง ถูกส่งให้โรงสกัดภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ร่อน ปาล์มให้เป็นลูกร่วง หรือรดน้ำเพื่อบ่มปาล์ม

©TASPO

ปัจจุบันแม้ลานเทต่างๆ ยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก RSPO โดยตรง หากทาง RSPO มีการอบรมการตัดปาล์มทั้ง เจ้าของสวน คนตัดปาล์ม และลานเท เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เวลาตัดปาล์ม จะทำให้ได้ปาล์มที่มีคุณภาพ เป็นการลด ปัญหาตัดปาล์มดิบ ปัญหาเปอร์เซ็นต์น้ำมัน และราคาที่ไม่เป็นธรรม

รายงาน / ทีมข่าว TASPO